อ่านละครสาวน้อย ตอนที่ 9 วันที่ 21 ก.ค. 55

{[['']]}
 เชิดยืนกำหมัด เสียมนั่งจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นมองเชิดอย่างงุนงง นิดทรุดตัวลงประคองเสียม
       “พี่เชิดนี่อะไรกัน”
       นิดมองเชิดอย่างผิดหวังและตำหนิ เชิดนิ่งอึ้งแววตาเจ็บปวดแล้วชี้หน้าเสียม
       “ไอ้เสียม”
       “พี่เชิดอย่านะจ๊ะ นิดขอร้อง”
       นิดเสียงอ่อนลงแต่ดวงตายังคงเจิดจ้าไม่ยอมลง เชิดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะผ่อนดวงตาให้อ่อนแสงและลดมือลง เนื่องก้าวมาตบไหล่เชิด
       “พอๆ ไอ้เชิด”
       “พอที พี่เชิดไหนบอกนายเสียมเป็นผู้มีพระคุณไง” แก้วบอก
       เชิดนั่งอั้น ดวงตาสับสนมองดูเสียมที่มองตอบด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจ เชิดน้ำตาคลอแล้วผลุนผลันหันหลังก้าวเดินไป นิดประคองเสียมลุกขึ้น
       “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เชิดโกรธฉันเรื่องอะไรฉันงงไปหมดแล้ว”
       “ไม่ใช่แค่ไอ้เชิดหรอก” เนื่องบอก
       เนื่องแสดงชัดเจนว่าโกรธ เย็นชาแล้วเดินออกไปอีกคน เสียมกับนิดยิ่งตกใจ
       “แก้วนี่มันเรื่องอะไร” นิดถาม
       “แกกับนายเสียมทำอะไรลงไปให้เป็นขี้ปากคนก็ไปนึกดูเองก็แล้วกัน”
      
       เสียมก้มกราบลงแทบเท้านางนิ่มที่นั่งห้อยขาอยู่ที่ชานเรือนโดยมี เนื่องนั่งอยู่ด้านหลัง ผนังด้านหลังมีรูปสาวน้อยติดเด่นอยู่ นางนิ่มมองเสียมแล้วถอนใจ
       “ลุกขึ้นเถอะเสียม”
       เสียมเงยหน้าขึ้นมองนางนิ่ม
       “ฉันขอโทษแม่นิ่ม ฉันมันไม่มีความคิด คิดแต่ว่าฉันกับนิดรักกันจนลืมนึกถึงเกียรติ ถึงชื่อเสียงของนิด แต่ฉันรับรองว่าเราสองคนไม่มีอะไรเกินเลย”
       เนื่องมองเสียมแล้วมองดูแม่
       “แม่รู้ พ่อเสียม แต่ปากคนน่ะมันยาวกว่าปากกา”
       “ยิ่งปากยายแสกับอีทับทิมด้วยแล้ว” เนื่องว่า
       “เนื่องยกโทษให้ฉันด้วย”
       “ข้าไม่ได้ถือโทษอะไรเอ็งไอ้เสียม ข้าเห็นเอ็งมาเกือบห้าเดือน ข้าแน่ใจว่าเอ็งเป็นคนดี”
       เสียมยิ้ม
       “ในเมื่อเสียมกับนิดรักกัน แม่ก็ไม่หวงไม่ห้าม ขอแต่อย่าให้เป็นขี้ปากคนอีก”
       “ฉันรับปาก ฉันจะไม่ทำอะไรให้นิดเสียใจเป็นอันขาด”
       “ก็ดี...คบหาดูใจกันไปก่อน”
       เสียมนิ่งฟังแล้วตัดสินใจ
       “แต่ฉันกับนิดเข้าใจกันถ่องแท้แล้วจ้ะ ฉันไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”
       “หา! หมายความว่ายังไง” นางนิ่มถาม
       “แม่นิ่มจ๋า ฉันไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองที่ไหน ฉันมีแต่ตัวที่ยอมตายได้เพื่อนิด มีสองมือที่ทำทุกอย่างได้เพื่อนิด”
       “นั่นก็มากมายเกินพอแล้ว”
       “แม่นิ่มจ๋า ฉันอยากจะแต่งงานกับนิด”
      
       เวลากลางคืนในห้องนอนนิด นิดนั่งอยู่บนพื้นห่างจากประตูราว ๒ ศอก หน้าแดง กัดริมฝีปาก ที่ประตูแง้มไว้นิดนหนึ่ง แก้วเอาตาแนบดูออกไปที่นอกชาน หูกระดิกฟังความ พลางถ่ายถอดมาที่นิด
       “แล้วแม่ตอบว่ายังไง” นิดถาม
       แก้วไม่หันมาแต่บอกว่า
       “ก็ไม่เห็นว่ายังไงนอกจากพยักหน้า”
       “พี่แล้วพี่เนื่องล่ะ”
       “ก็เห็นแต่หัวร่อแล้วตบหลังตบไหล่นายเสียม”
       แก้วหันมาจากประตูมองดูนิดหน้าระเรื่อแดง พยายามกลั้นยิ้มแต่ตาเป็นประกาย
       “แล้วแกล่ะว่ายังไง” แก้วถาม
       “ไม่รู้ซี คงต้องตามใจแม่มั๊ง”
       นิดหน้าเบ้ขยับมาจนชิด และมองอย่างคาดคั้นแถมแกล้งพูดข่มขู่นิดอีกต่างหาก
       “แกจะแต่งกับนายเสียมจริงเหรอ แกยังเด็กอยู่เลยนะ”
       “ตอนแม่แต่งกับพ่อ แม่เด็กกว่าฉันอีก” นิดบอก
       “แกทิ้งฉันไปแต่งงานแล้วฉันจะเล่นกับใครล่ะ”
       “แต่ฉันก็ยังเป็นเพื่อนแก้วอยู่นะ”
       “ไม่จริงหรอก แกแต่งงานไปแกจะมาเล่นกับฉันได้ยังไง แกต้องเล่นกับนายเสียมต่างหาก”
       “นี่ อย่ามาพูดบ้าๆ นะ”
       นิดร้องอุทานแล้วตีแก้วเผียะ แก้วเลิกแกล้งทำเสียงจริงจัง หัวเราะคิกคัก
       “ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก”
       “ถ้าแก้วกลัวเหงาก็แต่งบ้างซี”
       แก้วหน้าหม่นวูบหนึ่งแล้วเชิดหน้า
       “ใครที่ไหนจะมาแต่งกับฉัน ไม่มีใครชอบฉัน ฉันก็ไม่เห็นจะชอบใครซักคน”
       “แก้วโกหกแล้วล่ะ”
      
       แก้วหน้าซีดแล้วเขินอายจนหน้าแดง นิดกุมมือแก้วเอาไว้
       “ฉันรู้มาตั้งนานแล้ว มันเห็นชัดจะตายไป เห็นชัดกว่าเรื่องที่เชิดชอบฉันด้วยซ้ำ”
       แก้วเอามือปิดหน้าด้วยความอาย
       “ไม่เอา ไม่เอา ไม่พูดเรื่องฉันพูดเรื่องแกเถอะ”
       นิดอมยิ้มขยับกายไปเมียงมองที่ประตูห้องบ้าง
      
       บริเวณชายทะเลของวันใหม่ในช่วงกลางวัน เชิดกำลังตากแหอยู่ด้วยใบหน้าเครียดขรึม ดวงตาปวดร้าว นิดก้าวมาช้าๆ ทางด้านหลังมองเชิดอย่างเห็นใจ เชิดรู้สึกตัวว่ามีใครมองอยู่จึงหันไป นิดยิ้มตอบอย่างปลอบประโลมมาที่เชิด
       “นิดหายโกรธพี่แล้วหรือ”
       “นิดไม่ได้โกรธพี่ เพียงแต่ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า พี่ทำลงไปเพราะอยากปกป้องนิด”
       “พี่มันคนอย่างนี้แหละแก้ไม่หายซักที”
       เชิดนิ่งไปอย่างลังเลแล้วตัดสินใจพูด
       “เสียมคงโกรธพี่มาก”
       “นิดไม่เคยเห็นพี่เสียมโกรธใครเลยแม้แต่ไอ้แม้น”
       เชิดถอนใจ นิดก้าวไปกุมมือเชิดไว้
       “พี่เชิดจ๋า พี่เชิดรู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
       “พี่ดีใจด้วย เจ้าเสียมมันเป็นคนดีเหมาะสมกับนิดที่สุด”
       “พี่เชิดไม่โกรธนิดใช่ไหมจ๊ะ”
       “ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องโกรธนิด ไม่ว่ายังไง นิดก็คือน้องสาวที่พี่จะคอยดูแลตลอดไป”
       นิดยิ้มอย่างยินดี เชิดดึงนิดมานั่งบนเรือที่คว่ำไว้แล้วปล่อยมือ
       “แต่พี่เองก็ยังไม่สบายใจ”
       “ทำไมหรือจ๊ะ”
       “เสียมมันเป็นคนต่างถิ่นจำความหลังอะไรไม่ได้ ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า ถ้าภายหน้ามันเกิดจำได้ขึ้นมา มันก็ต้องกลับบ้าน .. มันอาจจะมีลูกมีเมียอยู่ที่บ้านแล้วก็ได้”
       นิดอึ้งไปแต่ความสุขใจมีมากกว่า
       “นิดก็ได้แต่หวังว่า มันคงไม่เป็นอย่างนั้น”
       “แต่ถ้ามันเป็นจริงล่ะนิดจะเป็นยังไง”
       นิดนิ่ง ความกังวลมีแค่เศษเสี้ยวของใจเทียบไม่ได้กับความสุข เชิดมองแล้วสงสารจึงหยุดพูด
       “เอาล่ะ พี่เข้าใจแล้ว พี่คิดมากไปเอง ความสุขของพี่ก็คือเห็นนิดมีความสุข ไอ้เสียมคงทำให้นิดมีความสุขที่สุด พี่ดีใจด้วยจริงๆ”
      
       วัดเชิงหาดในวันพระ มีคนมาทำบุญพอสมควรที่ศาลาการเปรียญมีคนมาทำบุญเลี้ยงพระเพล บนยกพื้น พระสงฆ์กับเณรตั้งวงฉันอยู่ ๒ วง มีมรรคทายก อุบาสกคอยรับใช้ ประเคน และชวนพูดคุย ส่วนบรรดาญาติโยมที่นั่งอยู่เบื้องล่างก็ซุบซิบฆ่าเวลากันอยู่
       แม่ใบซึ่งยังดูทรุดโทรมจากอาการไข้พูดขึ้น
       “ฉันดีใจด้วย แม่นิ่ม เจ้าเสียมน่ะมันทั้งดี ทั้งเก่ง ทั้งขยัน”
นางแสนั่งแขวะอยู่
        “วุ้ย ทีแรก คิดว่าจะได้ผัวขุนนางรางน้ำ ลงท้ายก็แค่จับกัง
      
        “แต่งกันก็ดี บ้านเราจะได้มีงานครึกครื้นบ้าง” นางใบว่า
      
        “ที่แต่งน่ะคงไม่ใช่กระไรหรอก คงอีลุ๊บตุ๊บป่องขึ้นมาเป็นแน่” นางแสบอก
      
        “เดี๋ยวก็ขอฤกษ์ขอยามกับหลวงพ่อซะเลยซี แม่นิ่ม” นางใบบอก
      
        “ถ้าขืนรอช้าล่ะก้อ แต่งไปไม่ทันกี่เดือน เด็กคงแว้ออกมาเป็นแน่” นางแสว่า
      
        สองคน สองวงและสองมุมคุยกันในเรื่องเดียวกันแต่แตกต่างความเห็นกันสุดขั้ว ที่ด้านหนึ่งของศาลา นางนิ่ม ใบ และชาวบ้านชายหญิงท่าทางใจบุญใจกุศลตั้งวงกันอยู่วงหนึ่ง ส่วนอีกด้านของศาลา นางแสตั้งวงอยู่กับชาวบ้านชายหญิงที่เปี่ยมล้นไปด้วยอกุศลจิตไม่ข้องเกี่ยว กันเลย
      
        “แล้วนี่ยังไงล่ะแม่นิ่ม จะแต่งเขยเข้าบ้านหรือจะให้แยกครัวออกไป” นางใบถาม
        “โอ้ย ยังไม่ได้พูดได้จากันเลยว่าจะยังไง” นางนิ่มบอก
      
        เสียงนางแสดังแว่วข้ามศาลามา
        “มันก็ข้าอยู่ในเรือนเหมือนกับพร้า แต่กลัวจะเข้าผิดห้องไปเข้าห้องแม่ยายเข้าล่ะก้อ .. วุ๊ย จากขี้ข้าได้เป็นพระยาแน่”
        “พระยาอะไรหรือแม่แส” ชายคนหนึ่งถาม
        “ก็พระยาเทครัวไงเล๊า”
        วงนางแสเสียงฮือฮาเฮลั่นขึ้น นางนิ่มชะงักหน้าตึงขึ้นทันทีและหันขวับไปอย่างเอาเรื่อง นางแสมองมาอย่างท้าทาย
        เสียงฆ้องดังจนทุกคนชะงัก หันไปเห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสมองส่งสายตามองมาอย่างเซ็งๆ
        “เอ้า จะสัพพีแล้วจะรับพรกันไหม”
        นางแสยิ้มกะเรี่ยกะราด ทุกคนทำหน้าเก้อกัน หลวงพ่อเปรย
      
        “มาทำบุญ ... แต่จะได้บุญกันไหมนี่”
        นางนิ่มยิ้มสะใจ นางแสค้อนขวับ
      
        บรรยากาศเกาะสีชังยามบ่าย บรรยากาศดูรื่นรมย์ นางนิ่มปักผ้าอยู่บนเก้าอี้ เสียม เนื่อง นิด แก้วนั่งอยู่ที่พื้น ตรงหน้ามีถาดวางเครื่องเมี่ยงคำ นิดห่อเมี่ยงส่งให้เสียม แก้วห่อให้เนื่อง
        “แม่นิ่มจ๋า .. ฉันอยากแต่งงานเลยได้ไหมจ๊ะ” เสียมถาม
        นิดถึงหน้าแดง นางนิ่มทิ้งผ้าลงร้อง
        “ไฮ้ ไม่ได้ ไม่ใช่นางเมรี (๑) นะ”
        แก้วได้ยินเรื่องนิทานก็หูผึ่งทันที
        “หา นางเมรีขี้เมาน่ะหรือ น้า”
        “ใช่ ก็ตอนนางยักษ์ให้พระรถถือหนังสือไปถึงนางเมรีว่า ถึงตอนไหนให้ฆ่าตอนนั้น ฤาษีสงสารเลยแปลงสารซะ นางเมรีเปิดหนังสือดู ก็เลยกลายเป็น”
        “เป็นยังไงแม่” เนื่องถาม
        “ถึงกลางวันให้แต่งแต่กลางวัน อย่าให้ทันเย็นย่ำสุรีย์ศรี
        ถึงกลางคืนให้แต่งในราตรี นี่คือพระสามีแม่ประทาน”
        แก้วหัวเราะคิก เนื่องชอบใจ
        “ก็เลยเสร็จ” แก้วว่า
        นิดมองค้อนเพื่อน เนื่องทำหน้าเบ้ทำนองว่าไม่เป็นกุลสตรี แก้วอารมณ์เสียเลิกห่อเมี่ยงให้เนื่อง
        “เชอะ อย่ากินเลย”
        “ทำเองก็ได้วะ”
        เสียมยังอ้อนวอน
        “โธ่ แม่นิ่ม ฉันพูดจริงๆ นะ”
        “แม่ก็พูดจริงๆเหมือนกันว่าไม่ได้ ต้องรอซักสองเดือน”
        “อุ๊ย ฉันรู้แล้ว ถ้ารีบร้อนแต่ง คนเขาจะลือว่านิดมันท้อง” แก้วว่า
        “นี่แน่ พูดอะไร”
        นิดลืมตาโพลงตีแก้วดัง เผียะ! เสียมถึงกับหน้าแดงไปด้วย เนื่องสำลักเมี่ยง พรวด! นางนิ่มสะดุ้งเฮือก
        “ไม่ใช่ แต่งงานน่ะมันเรื่องใหญ่ ต้องเตรียมงานเตรียมการให้ดี”
        “เราไม่ใช่พวกคนรวยพวกผู้ลากมากดี ไม่เห็นจะต้องจัดงานใหญ่โตเลย”
        “จริงๆ นะแม่ ถ้าเตรียมงานจริง เดือนเดียวก็พอถมไป” เนื่องบอก
        นิ่มพยักหน้า เสียมยิ้มออกหันมามองนิดที่กำลังมองค้อนให้
        “ฉันมาคิดดูแล้ว ตอนนี้ถ้าฉันมาอยู่ในเรือนต่อไปก็คงไม่เหมาะ”
      
        นางนิ่มตาสว่างวาบ ได้ทีเลยรีบรวบรัด
        “พ่อคู๊ณพูดเหมือนใจ แล้วพ่อเสียมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ”
        “ฉันจะปลูกบ้านจะได้ใช้เป็นเรือนหอด้วย”
        “ที่ทางเราเยอะแยะ เอ็งอยากปลูกตรงไหนล่ะ” เนื่องว่า
        “ฉันเลือกเอาไว้แล้วล่ะ เนื่อง”
        เสียมยิ้มอย่างมีความสุข
      
        บนเกาะวิมานน้อย ดอกไม้ยังออกดอกสะพรั่ง นิดยืนอยู่ตรงลานหิน เสียมอยู่บนชั้นหินที่สูงขึ้นไป
        “ตัวบ้านอยู่ตรงนี้” เสียมบอก
        “จะไหวหรือจ๊ะ เสาบางต้น เราคงต้องเจาะหินลงไป”
        “ดีซี บ้านจะได้มั่นคง .. เหมือนหัวใจพี่”
        นิดอมยิ้มแววตาขบขัน เพราะเสียมไม่เคยพูดเกี้ยวมาก่อน
        “พี่เสียมวันนี้ช่างพูดจริง”
        “หันหน้าบ้านไปทางนี้จะได้รับลมตลอดวัน ชีวิตของเราจะได้ร่มเย็น”
        “แล้วพอพายุมาก็จะเกินเย็นเพราะบ้านอาจจะปลิวตามลมไปทั้งหลัง”
        เสียมกระโดดมาใกล้ๆนิด ตายังคงมองแนวหินตรงหน้า
        “งั้นก็ต้องลงเสาให้แข็งแรงที่สุด ตัวบ้านและหลังคาก็ต้องทำให้แข็งแรงมากๆ แนวหินตรงนั้นจะเป็นขั้นบันไดธรรมชาติ ตรงนั้นพี่จะทำซุ้มไม้เลื้อยไปคลุมหลังคา”
        นิดมองเสียมอย่างชื่นชมและเอ็นดู แต่ปากก็จงใจขัด
        “อย่างนั้นก็คงต้องขนทั้งดิน ทั้งน้ำจืดมารด”
        “พี่ก็ว่าอย่างนั้นแล้วจะหาไม้ดอกสวยๆ มาปลูกเพิ่มอีก”
        นิดนั่งลงแล้วเอามือไล้พวกดอกหญ้า แล้วเด็ดดอกต้อยติ่งไร้ค่ามาทัดหู
        “แล้วดอกหญ้า ดอกต้อยติ่งพวกนี้ล่ะจ๊ะ”
        “ถางออกดีไหมแล้วเอาดอกไม้แปลกๆมาลงแทน”
        “อย่านะจ๊ะ เก็บไว้เถอะจ้ะ ถึงมันจะไร้ค่าถึงจะไม่สะสวย แต่มันก็อยู่มาก่อนแล้วทำเกาะนี้ให้สวยที่สุดอย่างเต็มกำลังของมัน”
        เสียมห็นชัดถึงจิตใจละเอียดอ่อนของเด็กสาว
        “นิดมีใจละเอียดอ่อนกว่าพี่เสียอีก”
        “ก็นิดไม่ใช่คนได้ใหม่ลืมเก่าอย่างพี่เสียมนี่จ๊ะ”
        เสียมรัดนิดไว้ นิดหน้าแดงด้วยความเขินอาย
        “กล้าดียังไงมากล่าวหาพี่”
        “ก็ไม่จริงหรือจ๊ะ พี่เสียมบอกว่าจะถางดอกหญ้าทิ้งหมด”
        “ใครจะทิ้งดอกหญ้าแสนสวย แสนหอมได้ลง”
      
        เสียมจูบแก้มนิดแล้วขยับตัวออก ทั้งคู๋จับมือกันไว้ เสียมกวาดตาไปรอบๆแล้วบอก
        “บ้านนี้จะเป็นวิมานของเรา พี่จะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า เกาะวิมานน้อย”
        “พี่เสียมตั้งชื่อเป็นอยู่แบบเดียวหรือจ๊ะ เกาะวิมานน้อย รูปภาพสาวน้อย อีกหน่อยก็คงจะเป็น .. เมียน้อย”
        นิดหลุดสิ่งที่เคยพูดเล่นกับเชิดซี่งเป็นความกลัวในใจออกมา เสียมหัวเราะ
        “นี่นิดอยากให้พี่มีเมียน้อยหรือ”
        นิดเม้มปากทำหน้าเชิด ตาวาว
        “ต่อให้นิดอนุญาต พี่ก็ไม่มีวันมีสายตาให้ใครอื่นอีก”
ภายในร้านตัดเสื้อหรู สุวลีกำลังใช้มือที่เรียวขาวงามลูบไล้ภาพแฟชั่นชุดเจ้าสาวแบบตะวันตกที่ดู เปรี้ยว เก๋ และหรูหราในแมกกาซีนแบบเสื้อ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววขมขื่น ลังเล สับสนบางอย่างฉายอยู่บนใบหน้า เธอนั่งอยู่บนโซฟาหรูหรา ตรงหน้ามีโต๊ะกาแฟวางแมกกาซีนอยู่เป็นตั้ง ด้านหน้าร้านมีหุ่นโชว์ เป็นตุ๊กตากระเบื้อง แม้ผมก็เป็นกระเบื้องอยู่ 3 ตัว สองตัวด้านข้างเป็นเสื้อกระโปรงทันสมัยของยุคพ.ศ. ๒๔๘๑ (ค.ศ. ๑๙๓๘) ตัวกลางใส่ชุดเจ้าสาวหรูหรา
       ทางด้านใน อนงค์กำลังยืนให้ช่างเสื้อวัดตัว พลางตดลงในสมุดเล่มยาว ส่วนรตีกำลังคลี่ผ้าทาบตัว ส่องกระจกบานสูงอยู่ทางหนึ่ง
       “เอว ๒๖” ช่างบอก
       “โอ โน ไม่จริง เมื่อคืนยัง ๒๒ อยู่เลย” อนงค์ว่า
       ช่างตัดเสื้อตาขุ่นแต่ฝืนยิ้ม รตีกรายลากผ้ามาใกล้แขวะ
       “ต๊าย แม่เอวบาง แม่มดตะนอย”
       “ก็จริงนี่ยะ เมื่อคืนรับประทานอาหารเหลาไปนิดเดียวก็เลยหน้าขึ้นมานิดนึง”
       อนงค์จีบนิ้วให้ดู รตีทำหน้ารังเกียจ อนงค์หันไปหาช่าง
       “เดี๋ยวอีกสองวันก็ลงค่ะ ตัด ๒๒ นิ้วนะคะ ไม่งั้นวันหลังต้องเอาเอวเข้าอีกเสียเวลาค่ะ”
       “ค่ะ นี่ก็เปลืองเวลาไปเยอะแล้ว” ช่างบอก
       ช่างสาวใหญ่พูดแล้วฉีกยิ้ม สองสาวไม่รู้ตัวว่าถูกกัดพากันถลาไปนั่งกับสุวลี
       “ต๊าย สุ ดูอะไรอยู่ ว้าย เวดดิ้งเดรส โซ บิ้วติฟูล” อนงค์ว่า
       “นี่ นี่ คุณสรรค์เค้านัดวันแต่งงานแล้วหรือ” รตีถาม
       รตีมีสีหน้าตื่นเต้น อนงค์ทำหน้าเบ้ สุวลีสะท้านจนเกือบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ฝืนทำเป็นปกติยิ้มนิดๆ
       “ยังหรอก แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนไม่ใช่หรือ”
       อนงค์ดึงมาดูบ้าง
       “เหรอ งั้นฉันสองคนก็ต้องเตรียมตัวหาชุดเพื่อนเจ้าสาวแล้วซี”
       “เอ นี่ดูเหมือนฉันไม่เจอคุณสรรค์มาสามเดือนแล้วนะ” รตีว่า
       “ห้าเดือน ห้าเดือนแล้ว”
       สุวลีหลุดปากเสียงสั่นแล้วก็ทำปกติอีก
       “ต๊าย ยังกะคนพรากจากกันถึงขั้นนับวันคอยเลย” รตีบอก
       “นี่คงไปราชการหัวเมืองอีกล่ะซี” อนงค์ถาม
       สุวลีได้แต่พยักหน้า ธนาก้าวเข้ามาในประตูร้าน สุวลียิ้มให้ธนา สองนางหันไปดู
       “สองสาวนี่ยังไม่เสร็จเรื่องเลยค่ะ” สุวลีบอก
       “ไม่เป็นไรครับ”
       ช่างก้าวเข้ามา อนงค์ส่งหนังสือคืนให้ สุวลีเอาวางไปไว้บนตัก
       “คุณคะ เชิญทางนี้อีกทีค่ะ”
       อนงค์กับรตีระริกระรี้เดินลุกไป สุวลีเชื้อเชิญธนานั่งลง
       “อีกประเดี๋ยวก็คงเสร็จแล้วล่ะค่ะ”
       “ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็รอได้ครับ”
       ธนาพูดอย่างมีความหมาย สุวลีหลบสายตาลูบคลำแหวนสรรค์ที่นิ้วมือ ธนามองตาม อึ้งไปนิดนึง นิตยสารบนตักเลื่อนลงตกพื้น สุวลีร้องอุทาน
       “ผมขออนุญาตครับ”
       ธนาลดตัวลงเก็บหนังสือขึ้น สุวลีมีความรู้สึกว่า ธนาพร้อมจะหมอบราบอยู่แทบเท้า ธนาขยับตัวขึ้นมาบนโซฟาพลางพลิกนิตยสารดู
       “คุณสุกำลังดูอะไรอยู่”
       ธนามองดูแล้วอึ้งไป สุวลีดึงมาปิดหนังสือลงพร้อมฝืนยิ้ม
       “สักวันหนึ่งผมคงได้เห็นคุณสุสวมชุดนี้”
       “สุ .. ไม่แน่ใจแล้วค่ะ”
       สุวลีน้ำตาเอ่อ ธนามองด้วยแววตาสงสาร
       “เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เรารู้เรื่องท่าเรือที่สรรค์ไป รู้กระทั่งเรือที่สรรค์เปะปะไปขอทำงานกับเขา แต่แล้วกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติมอีกเลย”
       “อย่าเพิ่งร้อนใจเลยครับคุณสุ เราได้ร่องรอยถึงขนาดนี้แล้ว เราต้องเจอคุณสรรค์แน่”
       “แต่ถ้าไม่เจอล่ะคะ ถ้าสรรค์ไม่กลับมาอีกเลย สุไม่รู้แล้วว่าสุจะทำยังไงต่อไป”
       ธนากุมมือสุวลีไว้
       “ไม่ว่ายังไงขอให้คุณสุรู้ว่า คุณสุยังมีผมอยู่ตรงนี้เสมอ”
       ธนามองสุวลีอย่างปลอบประโลม สุวลีซาบซึ้งอบอุ่นใจขึ้น อนงค์กับรตีอยู่กับช่างและกำลังถกเถียงเรื่องแบบเสื้อกันวุ่นวาย แบบเสื้อกองเป็นตั้งสูง
       “เอาคอถ่วง แล้วผูกโบว์ที่สะเอว” อนงค์บอก
       “ว้าย! อุ๊ย ดูนั่น”
      
       ทั้งสองนางกำลังมองดูภาพที่ธนากุมมือสุวลีไว้ สุวลีพูดคล้ายจะขอบใจแล้วดึงมือออก จากนั้นก็พูดคุยกันเป็นปกติ
       “อุ๊ย ยังไงกันน้ำตาลใกล้มด” อนงค์ว่า
       “อย่าเพิ่งคิดอกุศล .. ต้องค่อยๆ ดูกันต่อไป” รตีบอก
      
       ภายในร้านขายผ้าในตลาดหน้าด่าน แก้วเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารแล้วทำหน้าเบ้ เพราะนิตยสารแบบเสื้อที่พลิกดูนั้นเป็นแบบเมื่อ ๒ - ๓ ปีก่อน นิดกำลังดูผ้าอยู่ใกล้ๆ เจ๊เจ้าของร้านก้าวมาดู
       “นี่ เจ๊ แบบใหม่ๆ ไม่มีบ้างเหรอ เล่มนี้น่ะเปื่อยเป็นกระดาษเช็ดก้นแล้ว”
       เจ๊ค้อนขวับ
       “แล้วผ้าในร้านนี่ เห็นมีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่มีลายใหม่ๆมาเพิ่มบ้างเลย”
       “ลื้ออย่ามาทำเรื่องมาก คงสีชังน่ะมีอยู่กี่คงกัง พวกด่างภาษี พวกมาเที่ยวก็หัวสูง ไม่ซื้อร้านอั๊ว ลื้ออยากได้ลีๆ ก็ไปซื้อที่เมืองชง เมืองจัง หรือไม่ก็ไปมั่งก๊ก (๒) ซี”
       “ต๊าย คิดว่าอีแก้วไปไม่ได้หรือ”
       “พอเถอะแก้ว มาดูนี่ซี ผ้าผืนนี้สวยออก” นิดบอก
       แก้วกับเจ๊สะบัดหน้าพรืด ทับทิมเข้ามาทำทีเลือกผ้า แต่หูกางผึ่งเก็บข้อมูล แก้วเข้าไปดูผ้ากับนิดเห็นเข้าจึงทำเป็นจับผ้ามาทาบตัว กรีดกราย
       “ต๊าย สวยจังเลย นี่ชุดนี้ตักบาตรเข้า นี่ชุดตอนรดน้ำ นี่ตอนกินเลี้ยง แล้วนี้ ฮิฮิ ตอนส่งตัว”
       ทับทิมฟังแล้วลืมตัวขยำผ้าในมือที่ถือดูอยู่ เจ๊ร้องวี๊ด
       “ไอ๊หยา อาทับทิม ลื้อมาทึ้งผ้าทำลัย เดี๋ยวแหกไป อั๊วจะให้ลื้อซื้อยกพับ”
       ทับทิมค้อนขวับ แก้วกับนิดหันมองดู แก้วทำเป็นเพิ่งเห็นแล้วร้องทักเสียงหวาน
       “อ๊าว ทับทิมมาซื้อผ้าตัดเสื้อเหรอ”
       “เปล่า มาดูเฉยๆ ซื้อทำไม เสื้อผ้าใหม่ๆ ฉันมีอยู่เต็มตู้”
       “เหรอ งั้นก็มีชุดไปงานแต่งนิดแล้วซี”
       “ทับทิมต้องไปงานให้ได้นะจ๊ะ” นิดบอก
       ทับทิมฝืนยิ้ม ข่มความริษยาเอาไว้แทบไม่มิด
      
       ในเวลาต่อมา ทับทิมนั่งอยู่หลังแผงขายเครื่องสำอางร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง นางแสนั่งสัปหงกอยู่ข้างอ่างกะปิ ผวาตื่น
       “แหก!”
       บรรดาแม่บ้านที่มาจ่ายของ แม่ค้าแม่ขายริมถนนต่างตกใจมองมาเป็นตาเดียว ทับทิมไม่แคร์คน สะบัดหน้าพรืด ชาวบ้านพากันซุบซิบ
      
       “แหม อี .. อี .. อีเปรตในอบาย มึงเป็นอะไรของมึง” นางแสว่า
       “ก็ฉันเจ็บใจ ฉันอุตส่าห์ให้ท่ามานมนาน”
       “อุ๊ย ก็คนมันไม่ใช่คู่กัน จะนมนานนมยานมันก็ไม่ได้”
       “แต่ฉันเสียดายนี่”
       “ใฝ่ต่ำ เสียดมเสียดายอะไรกะแค่กุลี”
       ทับทิมนิ่งคิดแล้วเสริมแรงบวกให้ตัวเอง
       “ใช่ ถึงจะหล่อ ถึงจะเป็นชาวกรุง แต่ก็เป็นแค่กุลี ฉันน่ะมันต้องได้ดีกว่านี้”
       “อุ๊ย คงสีชังก็ไม่เอา คนกรุงก็ไม่ดี กูรู้แล้ว เอานายห้างฝรั่งไหมล่ะ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลกว่าบางกอกอีก ดู๊ พูดถึงก็มาเลย”
       นางแสมองออกไปนอกถนน ทับทิมมองตาม เห็นฝรั่งหัวล้าน ตัวกลม แต่งตัวแบบเดินทาง กางเกงขาสั้นมีซัสเปนเดอร์ ผูกโบหูกระต่ายเดินมา ด้านหลังมีชายชาวจีนหิ้วกระเป๋าเดินทางพะรุงพะรังมาทั้ง 2 มือ แถมถุงทะเลสะพายหลัง ทับทิมมองตาปริบๆ
       “ฮื้อ ทั้งแก่ ทั้งอ้วน ทั้งหัวล้าน”
       “แต่ท่าทางรวยนะ อีทับทิม”
       “ถึงรวยก็ไม่เอา แก่อย่างนี้ฉันมีผัวจับกังยังดีกว่า”
       ทับทิมหันมาพูดกับนางแส พอหันกลับไปก็เจออาล็อกยิ้มเผล่ในระยะประชิด
       “แต่อั๊วยังไม่อยากมีเมีย”
       ทับทิมผละถอยหลังทำท่ารังเกียจ
       “มาบอกฉันทำไม ไอ้เจ๊กบ้า แกจะเอาอะไร”
       “อั๊วมาถามทางน่อ บังกาลอไปทางไหน”
       “อะไรนะ”
       “บังกาลอ”
       “กาลอ”
       นางแสลืมตาโพลงนึกไปในทางลามกทันที พลางตบอกผาง ทับทิมนึกตามแม่ ลืมตาโพลง
       “กาลอ .. ว้าย ไอ้ลามก แกพูดอะไร”
       นางแสคว้าพายตักกะปิมากวัดแกว่ง ทับทิมลุกขึ้นชี้หน้า อาล็อกหน้าเหวอ
       “ไม่ช่าย กาลอ กาลอ”
       ทับทิมวี๊ดอีก ทอม แมกกินนีเข้ามาช่วยพูด
       “อย่าทำเขา ฉันมาถามทางไปบังกาโลว์”
       “อ๋อ บังกาโลว์ อะไรน่ะ แม่”
       “จะไปรู้รึ”
       “คือที่ ที่คนเที่ยว ที่ ที่คนไปหลับนอน”
       “คนเที่ยวหลับนอน ว้าย” ทับทิมว่า
       “ที่คนเที่ยว ที่ไปสมสู่หลับนอน กูรู้แล้ว” นางแสว่า
       แม่ลูกถอดรหัสแล้วร้องพร้อมกัน
       “ซ่อง!”
       ทอม แมกกินนีกับอาล็อกผงะ
       “โอ ที่นี่คือซ่องหรือ” ทอมว่า
       “ไอ้ย๊า มิน่าแต่งตัวบอกยี่ห้อ” อาล็อกบอก
       ทับทิมกับนางแสร้องวี๊ดๆ ชี้หน้า ทอมกับอาล็อกถอยหนี ผู้คนแตกตื่นมามุงดู หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์กับลูกน้องแหวกคนมาถาม
       “อะไร อะไรกัน”
       “ไอ้ฝรั่งกับไอ้เจ๊กนี่มาพูดลามกกับฉัน สารวัตร” ทับทิมฟ้อง
       “มันมาหาว่าร้านฉันเป็นซ่อง นังทับทิมเป็นช็อกการี” นางแสว่า
       “แล้วแม่แสเป็นแม่เล้า”
       หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์พูดแล้วหันมาดูทอมแล้วถาม
       “มิสเตอร์แมกกินนีใช่ไหม”
       “ใช่แล้ว ใช่”
       “ผู้ใหญ่ทางพระนครฝากมาให้ผมคอยดูแลคุณ เชิญครับ เชิญ” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ว่า
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 
  
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ