Latest Games
Showing posts with label อ่านละคร. Show all posts
Showing posts with label อ่านละคร. Show all posts

อ่านละครรักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 4 วันที่ 24 ก.ค. 55

แอร์โฮสเตสที่ยกกาแฟมาให้ธีระแล้วเกิดเครื่องตกหลุมอากาศ กาแฟกระฉอกใส่เขา เธอตกใจอุทาน “อุ๊ย ขอโทษค่ะ อุ้มไม่ทันระวัง”

ธี ระเงยหน้ามอง ตะลึงนิดๆเมื่อเห็นใบหน้าสวยหวานของอุ้ม เขาปลอบเธอว่าไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ เธอรีบส่งผ้าเช็ดมือให้แล้วบอกว่าจะไปเอามาให้ใหม่ อุ้มเดินออกไป

“เป็นไงครับกัปตัน น้องใหม่ของเราสวยมั้ย” วิทย์ถามยิ้มๆ

“แอร์ใหม่หรือ...”

“ครับ เห็นว่าเคยบินพวกสายการบินยุโรป เพิ่งย้ายมาอยู่กับเรา สวยดีนะครับ”

ธีระพยักหน้ายิ้มๆ อุ้มกลับมาพร้อมกาแฟให้ธีระและวิทย์ เธอยืนลุ้นดูธีระดื่มแล้วถาม

“ใช้ได้มั้ยคะ เห็นพี่รัตบอกว่ากัปตันใส่เฉพาะนมอย่างเดียว ไม่รู้ว่ามันไปรึเปล่า”

“กำลังดีครับ”

อุ้ม โล่งใจแล้วถามอาหารกลางวันจะรับอะไรกันบ้าง ธีระและวิทย์สั่งสิ่งที่ต้องการ อุ้มรับคำ ธีระมองวิทย์ที่ดูจะสนิทกับเธอเร็ว พอเธอออกไป เขาก็กระเซ้า

“คุณนี่ดูคล่องกับผู้หญิงนะ”

“ผมก็แค่ทำให้ดูกันเองน่ะครับ น้องเขาจะได้ไม่เกร็ง”

“ไม่ได้จีบเขาหรือ” ธีระหยั่งเชิง

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่สเปก ผมชอบหมวยๆ หรือกัปตันสนใจ” วิทย์แย็บทันที

ธีระรีบบอกว่า ตนยังเข็ดผู้หญิงอยู่...อุ้มออกมาจัดอาหาร นุ้ยกับเป๊บรุมถาม

“กัปตันเป็นไงอุ้ม หล่อสมใจมั้ย”

“อืม...หล่อมาก สมกับที่คนเขาลือจริงๆ”

นุ้ยรีบยุ “ถ้าสนใจอย่าช้านะ เขาเพิ่งอกหักจากคนรักเก่าด้วย”

“ไม่ล่ะ มิอาจเอื้อมของสูง” อุ้มยังกล้าๆกลัวๆ

เป๊บ บ่นถ้าตนยังไม่มีแฟน จะจีบแล้ว นุ้ยคะยั้นคะยอให้อุ้มตีสนิทกับธีระ อุ้มยิ้มอายๆพูดเล่นๆจะลองคิดดู... เป๊บกับนุ้ยเดินไป อุ้มพึมพำคนเดียว “ระดับกัปตัน เขาจะชอบเรารื้อ”

“ขอโทษครับ คุณอุ้ม” ธีระโผล่เข้ามา

“อุ๊ย...มีอะไรคะกัปตัน” อุ้มสะดุ้งเหลอหลาทำอะไรไม่ถูก

“ขอกาแฟอีกซักแก้วสิครับ แก้วเมื่อกี้อร่อยมาก” ธีระส่งถ้วยกาแฟคืนแล้วเดินเข้าห้องนํ้า

“หวังว่ากัปตันคงไม่ได้ยินที่เราพูดนะ ถ้าเกิดเขาได้ยินขึ้นมา เราแย่แน่” อุ้มบ่นอายๆ

ธีระออกมา อุ้มส่งถ้วยกาแฟใหม่ให้ เขาขอบคุณแล้วบอกว่า “อ้อ เมื่อกี้ผมได้ยินว่า...”

“หา...กัปตันได้ยินหรือคะ อุ้มพูดเล่นน่ะค่ะ”

“พูดอะไรครับ” ธีระจ้องหน้าอุ้ม

“แล้วกัปตันได้ยินว่าไงล่ะคะ” อุ้มเขิน

“ได้ยินโคไพลอทบอกว่าคุณเพิ่งย้ายมาทำงานกับเรา”

อุ้มถอนใจ ตอบว่าค่ะ จากนั้นธีระชวนคุย

จิปาถะ ก่อนกลับไปเขาหวังว่าจะได้ร่วมงานกันบ่อยๆ อุ้มมือไม้เย็น ยืนอึ้ง “นี่เราเป็นอะไรเนี่ย ทำไมมือเย็นอย่างนี้”

นุ้ยเข้ามาเรียก อุ้มสะดุ้ง นุ้ยตามให้ออกไปทำงาน อุ้มถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนเข็นรถออกไป

ooooooo

หลัง จากดีใจที่ทำให้ลูกชายไม่ต้องแต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ จินดาต้องหนักใจเพราะคิตตี้แวะเวียนมาไม่เลิก จนเธอเริ่มไม่พอใจ แถมคิตตี้ยังบอกว่า ตนกลับมาเพราะรู้ข่าวงานแต่งล่ม

“ถ้าหนูได้มาเป็นสะใภ้คุณแม่ล่ะก็ หนูจะดูแลคุณแม่ไปจนวันตายเลยค่ะ”

จินดา สำลักอาหารที่ทาน คิตตี้จะป้อนแหนมเนืองให้อีก เธอโบกมือพอก่อน คิตตี้พยายามเอาใจเปลี่ยนของกินให้ใหม่ จินดาเริ่มอึดอัดมากขึ้น มองอย่างไม่สบอารมณ์

วันต่อมา แดงกับครอบครัวมารับจินดาออกไปทานอาหารนอกบ้าน แดงถามแม่จะเอาแหนมเนือง ของชอบไหม เธอรีบบอกว่าไม่เอาเบื่อแล้ว กบเสนอกุยช่ายทอดของโปรดแทน จินดาส่ายหน้าไม่ชอบอีกแล้ว แดงเริ่มสงสัย

“แม่เป็นอะไรอีกเนี่ย ทำไมอารมณ์ไม่ดี”

ไตร ตั้นโพล่งขึ้นมาอย่างเด็กๆว่า สงสัยน้าธีจะแต่งงานอีก กบเอ็ดลูกชายว่าผู้ใหญ่คุยกันอย่าแทรก แดงถามจินดาอีกครั้งว่าอารมณ์เสียเรื่องอะไร

“ก็แม่คิตตี้น่ะสิ จะมาเกาะแกะน้องชายแก”

“เรื่องนี้อีกแล้วหรือแม่” แดงอ่อนใจ

“เห็นมั้ยพ่อ ตั้นทายถูก”

กบเอ็ดลูกให้เงียบ แดงตำหนิแม่ “หนูว่าแม่เลิกยุ่งกับเรื่องของนายธีเขาซะเถอะ ที่เขาต้องเลิกกับพิมก็เป็นเพราะแม่นะ”

“นี่แกหาว่าฉันเป็นต้นเหตุทำให้เขาเลิกกันงั้นหรือ”

“ก็ใช่สิ ถ้าแม่ไม่เข้าไปยุ่งกับเขา ป่านนี้ธีมันก็แต่งงานกับพิมไปเรียบร้อยแล้ว”

“แกถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ ที่น้องแกมันเลิกกับแม่พิม เพราะเขาไปด้วยกันไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว  หนูรู้นะว่าแม่สร้างเรื่องทุกอย่าง

แม่เป็นคนโทร.หาคิตตี้ให้เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายกับธี แล้วแม่ก็...”

กบ ปรามแดง จินดาโวยให้พูดว่าตนทำอะไร  กบขอร้องอย่าทะเลาะกันเลย ทานอาหารดีกว่า จินดาเอ็ดตะโรใส่กบ ให้บอกแดงถอนคำพูด แดงโต้ไม่ถอน  ตนไม่ยอมแม่อีกแล้ว

“อ๋อ ใช่สิ เดี๋ยวนี้ฉันมันแก่ไม่มีความหมายแล้วนี่ แกมีลูกมีผัว แกไม่เห็นความสำคัญของฉันแล้ว” จินดาพาลไปกันใหญ่ โวยกบไม่รู้จักสั่งสอนเมียให้รู้ว่าใครแม่ใครลูก

จินดาลุกจะกลับบ้าน กบจึงอาสาไปส่ง แดงคิดว่าแม่ไม่กล้า บอกกบถ้าแม่อยากกลับให้ไปเอง จินดายิ่งโกรธ สะบัดหน้าเดินออก กบบอกไตรตั้นให้อยู่กับแม่ ตนจะ

ส่ง ยาย แดงห้ามแต่กบขอร้องอย่าให้รุนแรงอย่างนี้เลยเขาวิ่งตามออกมา  เห็นจินดาโบกแท็กซี่  แต่รถคงไม่ไป  เธอจึงบ่น ไม่รับคนแล้วขับมาหาหอกอะไร

กบ เลื่อนรถมาจอดตรงหน้า ขอร้องให้จินดาขึ้นรถ ตนจะไปส่ง จินดามองว่าแดงไม่ได้ตามออกมาจึงยอมขึ้น ระหว่างอยู่ในรถ กบพยายามขอร้องจินดาอย่าโกรธแดง

“ถ้าแกเป็นฉัน แกไม่โกรธหรือ ฉันเป็นแม่มัน

แบกท้องมันมาตั้งเก้าเดือน เลี้ยงมันกว่าจะโตมาเป็นเมียแก หน็อย ทำปากกล้ามาด่าเรา”

“แดงเขาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นหรอกครับแม่

เขาแค่อยากจะเตือนแม่”

จินดา ปรี๊ดแตก หาว่ากบเข้าข้างแดง โวยวายให้จอดรถ ไม่อย่างนั้นจะโดดลง กบรีบจอดข้างทาง จินดาลงจากรถอย่างโกรธ โบกแท็กซี่ขึ้นไป กบส่ายหน้า นึกว่าแบบนี้จะมีแต่แม่ตน เขาเห็นว่าจินดาขึ้นรถแล้วไม่น่ามีอะไรจึงกลับไปหาลูกเมียที่ร้าน

ooooooo

ย่าน ช็อปปิ้งต่างแดน ธีระกับวิทย์เดินซื้อของระหว่างพักการบิน ธีระหยุดมองอุ้มเลือกซื้อของอยู่ในร้านช็อกโกแลต เธอหิ้วถุงออกจากร้าน ตกใจเมื่อเขาทัก

“อ้าว คุณอุ้ม ซื้อขนมหรือ”

“ค่ะ  ซื้อช็อกโกแลตไปฝากคุณแม่  คุณแม่อุ้มชอบทาน”

“เหมือนคุณแม่ผมเลย เมื่อก่อนผมก็ซื้อไปฝากทุกไฟลท์ แต่ตอนหลังท่านเป็นเบาหวานเลยไม่ได้ซื้อ”

“งั้นก็ซื้อคุกกี้ที่ผสมซินนามอนไปให้ทานมั้ยคะ เขาบอกว่ามันช่วยลดนํ้าตาลได้นะคะ”

ธี ระชอบใจจะเข้าไปซื้อ เธอรีบบอกว่าร้านนี้ไม่มี ถ้าตนเจอจะซื้อมาให้ นุ้ยกับเป๊บเห็นสองคนคุยกันอย่างถูกคอก็ดีใจ ยิ่งวิทย์ตามมาสมทบ ต่างเห็นพ้องกันว่า น่าจะให้อุ้มดามใจธีระ ทั้งสามจึงวางแผนให้ทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยกัน

ก่อนมื้อเย็น อุ้มคุยโทรศัพท์กับแม่บนห้อง เป๊บมาบอกเจอกันที่ร้านอาหาร อุ้มวางสายจากแม่ขอเข้าห้องนํ้าแล้วจะตามไป เป๊บรีบมาเจอกับนุ้ยและวิทย์ ต่างพยักหน้าให้กันแล้วเดินไป

ธีระนั่งคุยโทรศัพท์กับจินดาในร้าน อาหาร เขารู้สึกว่านํ้าเสียงแม่ไม่ค่อยดี แถมเธอบ่นว่าเบื่ออาหาร เขาจึงบอกให้แดงพาไปหาหมอ จินดาขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ปัดว่าแดงไม่มีเวลา

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะแม่ หรือว่าทะเลาะกัน”

“แม่จะไปทะเลาะกับใครได้ เดี๋ยวนี้พูดอะไรนิดพูดอะไรหน่อยก็ไม่เข้าหูเขา”

ธี ระปลอบอย่าคิดมาก แดงรักแม่ จินดาสวนว่าไม่จริง คนที่รักตนมีเขาคนเดียว ธีระถอนใจเปลี่ยนเรื่องมาถามอยากได้ของฝากอะไรไหม เธอตอบไม่ต้องการ ขอให้เขากลับมาหาตนก็พอ ธีระเอ่ยรักแม่ก่อนจะวางสาย จินดาอิ่มเอมใจ

อุ้ม เดินเข้ามาในร้านเจอธีระทักตามมารยาท ธีระชวนเธอนั่งร่วมโต๊ะ เธอบอกว่านัดกับนุ้ยและเป๊บไว้ เขาจึงบอกว่าเขาก็นัดวิทย์ จึงชวนนั่งด้วยกัน ไม่ทันไร ทั้งนุ้ยและวิทย์ต่างโทร.บอกว่า เจอเพื่อน ไม่มาทานด้วยแล้ว ทั้งสองสบตากัน อุ้มรีบขอตัวกลับไปทานที่ห้อง ธีระรั้งไว้

“คุณอยู่ทานเป็นเพื่อนผมแล้วกัน” เห็นอุ้มลังเลจึงแกล้งถาม “ทำไม กลัวแฟนจะว่าหรือ”

“เปล่าค่ะ อุ้มยังไม่มีแฟนค่ะ”

“งั้นก็นั่งทานเป็นเพื่อนผมได้สิ ผมก็ไม่มีแฟน สั่งอะไรเถอะ ผมหิวแล้ว”

อุ้มก้มหน้าดูเมนู ธีระเสนอชื่ออาหาร อุ้มตอบว่าได้หมด เขายิ้ม “คุณนี่น่ารักจริงๆ ถามอะไรกินได้หมด ทุกอย่าง”

อุ้ม เขิน...ในขณะที่วิทย์ นุ้ย และเป๊บนั่งทานอยู่ด้วยกันอีกร้าน ทั้งสามคุยกันเรื่องของธีระกับอุ้ม เป๊บรับรองว่าอุ้มเป็นคนดีไม่มีที่ติ เพราะตนเป็นเพื่อนเรียนกันมา สมัยเรียนอุ้มไม่เคยมีแฟนทั้งที่มีคนจีบเยอะ เพราะช่างเลือก วิทย์ชอบใจทั้งสองต้องเข้ากันได้ดี เพราะธีระก็เพอร์เฟกต์ไม่มีตำหนิ ที่สำคัญทั้งสองรักแม่มากเหมือนกัน

ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหาร ธีระมองอุ้มอย่างถูกใจ เขาเกริ่น “ผมถามอะไรอย่างได้มั้ย”
อุ้มมองเขินๆถามว่าอะไร ธีระถามว่า ทำไมผู้หญิงถึงรับไม่ได้ที่ผู้ชายรักแม่ อุ้มไม่เข้าใจ

“ก็สมมติว่าคุณมีแฟน แล้วแฟนคุณเขาให้ความสำคัญกับแม่เขา อาจจะมากเกินไปสักนิด คุณจะรู้สึกยังไงกับแฟนคุณ”

“อือ แล้วผู้ชายเขารักอุ้มมากหรือน้อยกว่าแม่เขาล่ะคะ”

ธี ระตอบว่าเท่ากัน อุ้มแย้งเป็นไปได้หรือ เขาแปลกใจทำไมถึงไม่เชื่อว่ารักเท่ากัน อุ้มว่าถ้าเป็นตน ตนต้องรักพ่อแม่มากกว่าแฟน ธีระลองถามใหม่

“แล้วถ้าติดเกาะอยู่สามคน มีเรือมารับแต่ให้ไปได้แค่สองคน คุณจะเลือกไปกับใคร”

“อุ้มก็ต้องเลือกไปกับแม่สิคะ”

“ไหนบอกเหตุผลสิ ทำไมคุณถึงเลือกแม่ไม่เลือกผม...เอ่อ...ไม่ใช่ ผมหมายถึงแฟนคุณ”

“ก็แม่อุ้มช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นี่คะ แต่แฟนอุ้มเขาต้องช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่า แล้ววันนึงเขาอาจรอดชีวิตกลับมารักอุ้มได้อีก”

“อืม...เหตุผลของคุณก็ถูกนะ ถ้างั้นผมก็ไม่ผิดที่เลือกแม่ ขอบคุณนะ”

อุ้ม งงขอบคุณเรื่องอะไร ธีระตอบว่าเรื่องติดเกาะ เขายิ้มที่เธอทำให้รู้สึกกระจ่างขึ้นมาก อุ้มทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจความหมาย ธีระชวนเดินย่อยอาหารกลับโรงแรม แต่ขอแวะซื้อกาแฟที่ร้านตรงหัวโค้ง อุ้มรับคำค่ะ ธีระยิ้มขำๆ

“ผมน่าจะมีแฟนแบบคุณนะ ที่พูดอะไรก็ไม่เคยขัดเลย” เห็นอุ้มอึกอักเขากระเซ้า “คุณไม่อยากมีแฟนเป็นกัปตันบ้างหรือ”

อุ้มตกใจไม่ทันตั้งตัว ถามอะไรนะ ธีระพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง อุ้มตาโพลงเขินอาย

“กัปตันอย่าเล่นมุกนี้เลยค่ะ นี่อุ้มก็อายจะแย่แล้ว” อุ้มเดินจ้ำนำหน้าเขาไป

“เดี๋ยวสิคุณอุ้ม นี่ผมไม่ได้เล่นมุกนะ” ธีระวิ่งตาม

“ถึงร้านกาแฟแล้วค่ะ กัปตันซื้อกาแฟก่อนนะคะ อุ้มหนาวขอกลับโรงแรมก่อนค่ะ”

อุ้ม วิ่งข้ามถนนไป ธีระไม่อยากเชื่อว่ายังมีผู้หญิงแบบนี้ในยุคนี้อีก อุ้มหันมามองเขา จึงเดินชนเสาไฟ ธีระอ้าปากจะเตือนแต่ไม่ทัน อุ้มยิ่งอายก้มหน้าก้มตาวิ่งตรงไป ธีระยิ้มขำ เธอเดินลับตามาได้ ก็หยุดกุมหน้าผากพึมพำว่า...นี่เขาพูดเล่นหรือพูดจริงกับตนกันแน่

ooooooo

วัน ต่อมา แดงพยายามโทร.มาหาจินดา แต่เธอไม่ยอมรับสาย แถมนั่งกินไก่ย่างส้มตำอย่างเอร็ดอร่อย อรพยายามบอกให้คุยกับแดง เธอก็ไม่ยอม ตั้งแง่อย่าคิดจะมาง้อ

“ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมแม่ถึงเป็นคนแบบนี้นะ” แดงสบถ

กบ ปลอบอย่าไปโกรธคนแก่เลย คงอยากให้คนตามใจ แดงย้อน “แม่คุณก็เหมือนกัน นี่ดีนะที่ฉันไม่ยอมอ่อนข้อให้ ไม่ยังงั้นล่ะก็ คุณไม่มีวันได้แต่งกับฉันหรอก”

“เอาล่ะ ผมขอโทษ งั้นขอให้คุณจัดการกับแม่คุณให้เหมือนกับแม่ผมแล้วกัน” กบอ่อนใจ

จินดา กินไก่ย่างทั้งที่หมอห้ามแล้วยังจะเอาลอดช่องน้ำกะทิอีก อรจัดให้อย่างไม่เต็มใจ พลันเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น จินดารีบสั่งอร ถ้าเป็นแดงมาให้บอกว่าตนไม่รับแขก...อรวิ่งมาเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นคิตตี้ อรรายงานว่าจินดากำลังกินลอดช่องอยู่ คิตตี้เข้ามาถึง จินดาเห็นถึงกับสำลัก คิตตี้รีบเช็ดปากให้ และต่อว่า

“คุณแม่ขา ห้ามทานเด็ดขาดนะคะ นี่ค่ะทานผลไม้ดีกว่า หนูซื้อชมพู่มา อรจ๋าเอาไปล้างให้คุณยายที”

จินดา เอ่ยปากถาม มาทำไม คิตตี้รีบตอบว่ามาดูแลเธอ ตนบอกแล้วว่าจะปรนนิบัติจนกว่าจะตายจากกัน จินดาเริ่มเสียงขุ่น “ขอบใจนะ แต่ฉันว่า ฉันดูแลตัวเองได้”

“อย่าเกรงใจเลยค่ะคุณแม่ นี่ตี้กะว่าอาทิตย์หน้า ตี้จะเอาเสื้อผ้ามาอยู่ค้างกับคุณแม่ซะเลย จะได้อยู่กันอย่างใกล้ชิด คราวนี้พี่ธีก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงคุณแม่อีกต่อไปแล้ว”

จินดาอึ้ง อรอมยิ้มอย่างขำปนสะใจ

ooooooo

เช้า วันใหม่ที่ต่างแดน ธีระยืนเตร็ดเตร่อยู่หน้าโรงแรม วิทย์เดินออกมาถามไม่ไปซื้อของหรือ เขาตอบว่านอนไม่หลับจึงลุกมาเดินเล่น วิทย์รู้ทันชวนไปดูของเก่าที่ร้านกัน ธีระปฏิเสธ วิทย์แกล้งถามอีกว่าเมื่อคืนทานข้าวคนเดียวสนุกไหม ธีระทำหน้าเก้อเขิน

“อ๋อ เมื่อคืนเจออุ้ม ก็เลยกินกับอุ้มเขา”

วิทย์ถามว่าอุ้มเป็นอย่างไรบ้าง น่ารักไหม ธีระพยักพเยิดว่าก็ดี วิทย์ถามโพล่งออกมา

“หมายความว่ากัปตันชอบ”

“อ้าว ผู้หญิงสวยใครไม่ชอบ”

“ผมดีใจจริงๆครับ กัปตันจะได้หายอกหักซะที”

“คุณนี่มันรู้มากจริงๆ จะไปไหนก็ไปเถอะ”

วิทย์ รีบเดินข้ามถนนไป สามสาวเดินคุยกันออกมา นุ้ยกับเป๊บยุอุ้มลองคบธีระอีกวัน พวกตนเชื่อว่าเขาสนใจเธอ นุ้ยชี้ให้ดูธีระซึ่งยืนรออยู่ อุ้มแย้งว่าเขารอวิทย์ เป๊บเข้ามาทักธีระและถามถึงวิทย์ เขาบอกว่าไปดูของเก่า เป๊บกับนุ้ยรีบบอกว่า

“งั้นไปดูของเก่ากับพี่วิทย์ดีกว่านะ นุ้ยฝากอุ้มด้วยนะคะกัปตัน”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิ ฉันไปด้วย”
 ขอขอบคุณจาก thairath.co.th  

อ่านละครปิ่นอนงค์ ตอนที่ 21 วันที่ 24 ก.ค. 55

ใหญ่พาปิ่นอนงค์หนีลงมาทางหน้าต่าง เธอกอดไม้เท้าไว้แนบตัว หวานกับน้อยตามมาบอกว่าครองสุขรู้เรื่องหมดแล้วให้รีบหนี ไฟฉายสาดมาที่กลุ่มใหญ่ ครองสุขก้าวเข้ามาจ้องหน้า

“ผีคุณใหญ่หรือ ฉันน่าจะเอะใจตั้งแต่แรกว่าแกมันเจ้าเล่ห์ขนาดไหน”

“คนโง่ย่อมถูกจูงจมูกโดยคนฉลาดเสมอ แต่ตอนนี้ ฉันหมดสนุกที่จะจูงจมูกคุณนายเสียแล้ว มันขี้เกียจ” ใหญ่เยาะกลับ

“เห็นหรือยังจอม ว่ามันเห็นแกกับฉันโง่เหมือนวัวเหมือนควาย โดยเฉพาะนังปิ่น แกทำกับคนที่รักแกได้แสบสันดีเหลือเกินนะ” ครองสุขยุจอม

ปิ่นอนงค์รีบบอกเขาว่าตนไม่ได้คิดร้าย จอมโวยว่าเธอไม่เคยเห็นค่าความรักของตน

“ความ รักจะมีค่าต่อเมื่อแกรู้จักใช้สติปัญญาแยกแยะ แต่นี่แกทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ปิ่นไป แกไม่ได้โง่หรอกจอม แต่แกเห็นแก่ตัว แกตั้งใจมองข้ามความถูกต้องทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองปิ่น” ใหญ่เตือนสติ

“ฟังแล้วความรักของแกสองคนนี่มันช่างถูกต้อง สูงค่าเหลือเกินนะ เอาสิ ถ้าเธอเห็นใจมันก็ปล่อยมันไปเสพสุขด้วยกันเลยจอม” ครองสุขเป่าหู

“ไม่มีวัน ผมไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำหัวใจผมอีกแล้ว” จอมสั่งสมุนจับทุกคน

ใหญ่ ต่อสู้กับจอมไม่ยอมให้จับ ครองสุขชักปืนออกมาจ่อใหญ่ ปิ่นอนงค์ร้องห้าม อย่าฆ่าใครอีกเลย ถ้าจะฆ่าให้ฆ่าตน ขอตนเป็นศพสุดท้าย ใหญ่ตวาดไม่ต้องไปขอร้อง ถึงใครจับไม่ได้กรรมก็ต้องตามทัน ครองสุขหัวเราะเยาะขึ้นไก ตนจะตัดกรรมเสียเอง กรรมของตนคือใหญ่

จอมแย่งปืนจากครองสุข “ผมขอฆ่ามันด้วยมือผมเอง”

“ไม่นะจอม ถ้าจอมฆ่าคุณใหญ่ เราจะไม่มีวันให้อภัยจอม เราจะเกลียดจอมไปตลอดชีวิต”

“มันจะเป็นไรไปล่ะปิ่น ในเมื่อปิ่นก็ไม่เคยรักเราอยู่แล้ว”

ใหญ่สะบัดตัวออก จอมตบด้วยด้ามปืนลงไปกอง ปิ่นอนงค์ถลาเข้ากอดใหญ่ จอมยิ่งโกรธสั่งสมุนจับพวกผู้หญิงแยกออกไปขังไว้ ตนจะจัดการใหญ่เอง

ใน ขณะที่ทัศนีย์ถูกผลักเข้ามาขังในห้องทรรศนะ เธอจึงเห็นว่าเขาถูกมัดมือไพล่หลังอยู่ ทรรศนะบอกว่าตนโดนขังเพราะจะไปช่วยปิ่นอนงค์ เธอช่วยแก้มัดให้พี่ชายพร้อมกับบอกว่า

“คุณน้าเป็นฆาตกรฆ่าคุณไพศาล ฆ่าป้าอุ่น ฆ่าไอ้ธีระ ฆ่าทุกคนที่ขวางทาง คุณน้ายึดไร่ไพศาล ที่พี่นะเดินไม่ได้ก็แผนคุณน้าใช่มั้ย”

“ใช่ แต่คุณน้าทำเพื่อพี่ อยากช่วยให้พี่สมหวังกับปิ่น” ทรรศนะให้เข้าใจความหวังดี
“แต่ตอนนี้คุณน้ากำลังจะฆ่าคุณใหญ่ รายต่อไปไม่พ้นปิ่นอนงค์” ทัศนีย์ทำให้เขาเครียด

ระหว่าง นั้น ปิ่นอนงค์ถูกมัดมือไพล่หลังอยู่ในโรงเก็บฟาง จอมเดินเข้ามา เธอรีบขอร้องเขาอย่าทำอะไรใหญ่ จอมเจ็บปวดที่เธอห่วงใหญ่ เธอกลับบอกว่า

“ปิ่น ห่วงจอม ความโกรธแค้น ความชิงชังที่มีกับใครก็ตาม เราเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ใจเราได้ แต่ความผิดที่ฆ่าคนตาย มันจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต ล้างออกยังไงก็ไม่หมด”

จอมมองหน้าเธอนิ่งสักพักก่อนจะเสนอ “เราให้โอกาสปิ่นครั้งสุดท้ายก็ได้ ถ้าปิ่นตกลงทำตามที่เราขอเราจะยอมปล่อยคุณใหญ่ไป”

“ได้ ปล่อยคุณใหญ่ไปเถอะ ปิ่นยอมทุกอย่างที่จอมต้องการ”

“ยอมเป็นเมียเราด้วยงั้นหรือ” จอมกระชากเธอเข้ามาประชิด

“ใช่ แต่จอมจะได้แค่ร่างกายของปิ่น จะไม่มีความรัก ความเป็นเพื่อน ความรู้สึกดีๆมันจะไม่มีอีกต่อไป”

จอมยิ้มอย่างเจ็บปวด “นี่สิ ถึงจะเป็นปิ่นของเรา”

เจิด เข้ามารายงานว่าได้ขุดหลุมที่บึงข้างไร่ไว้แล้ว น้ำมันยางก็เตรียมพร้อม จอมยิ้มสะใจ ปิ่นอนงค์ตกใจขอร้องจอมอย่าทำอะไรใหญ่...ในขณะที่สมุนลากใหญ่มารอที่หน้าโรง เก็บฟาง ใหญ่ต่อสู้แต่โดนรุมจนสะบักสะบอม จอมออกมาสั่งให้หยุด

“พอ แค่นี้ ให้มันตายตรงนี้เดี๋ยวตำรวจจะดมกลิ่นมาถึง ฉันจะเอามันไปอำพรางศพเอง แกสองคนไปกับฉัน” จอมชี้สมุนสองคนที่ไม่ใช่เจิดกับก้านให้หิ้วปีกใหญ่ไปที่รถ

ooooooo

และ แล้วเสี่ยตงก็ยอมร่วมมือกับปานเทพเป็นพยานเอาผิดครองสุข...เปี๊ยกมาบอกถวิล ที่ใหญ่กับปิ่นอนงค์ถูกจับ ถวิลไม่รอช้าวิ่งไปทันที...ในขณะที่ใหญ่ถูกสมุนโยนลงข้างหลุมที่ขุด จอมบอกว่าตนจะคิดบัญชีแค้นเอง เขาเล็งปืนไปที่ใหญ่ แล้วลั่นไก ใหญ่หลับตาได้ยินเสียงปังๆ แต่ไม่รู้สึกเจ็บจึงลืมตาขึ้น

เห็นสมุนทั้งสองถูกยิงที่ขาล้มไปนอนดิ้นทั้งคู่ เขามองด้วยความงง...

จาก นั้น จอมก็โทร.รายงานครองสุขว่าจัดการใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนปิ่นอนงค์ตนขอทรมานให้สมใจก่อน ครองสุขทำเสียงเยาะ “แหม แสดงว่าฉันรู้ใจเธอสิจอม ฉันสั่งให้ไอ้เจิด ไอ้ก้านมันทรมานนังปิ่นแทนเธอแล้ว รับรองว่า สะใจเธอแน่”

“คุณนายจะทำอะไรปิ่น ฮัลโหลๆ...”จอมตกใจ

“นึกว่าฉันจะหลงแกจนโง่เหรอไอ้จอม เมื่อแกไม่รักฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเอาแกไว้”
เจิดกับก้านเข้ามาจะจัดการปิ่นอนงค์ เธอต่อสู้ใช้ไม้เท้าทิ่มตาก้านและตีเจิด จะวิ่งหนี จอมเปิดประตูเข้ามาร้องบอกให้เธอหมอบลง  เขายิงใส่เจิด แล้วดึงปิ่นอนงค์วิ่งหนีออกไปที่รถ แต่ก้านตามมาไล่ยิง โดนกลางหลังจอมล้มลง จอมไล่ให้เธอหนี แต่เธอจะลากเขาไปด้วยให้ได้

“จอมขอโทษ  จอมรักปิ่น  รีบไปหาคุณใหญ่ที่บึงน้ำข้างไร่ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เราให้ปิ่นได้”

ปิ่น อนงค์ตัดสินใจขึ้นรถจะไปหาใหญ่ เจิดออกมายิงใส่เธอ เธอชะงักแต่ยังขับรถออกไปได้...ครองสุขเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นตามแผน เธอมาหาลูกๆ ในห้อง เพื่อบอกว่าใหญ่ตายแล้ว ทุกอย่างจะเป็นของพวกเรา ทรรศนะโวยไม่ต้องการ เขาต้องการปิ่นอนงค์ ทัศนีย์ก็หาว่าเธอใจร้าย ตนไม่ต้องการไร่นี้ ไร่ที่มีแต่เลือดแต่ศพ ครองสุขเอ็ดว่าเป็นบ้าอะไรกันไปหมด ทรรศนะจูงมือทัศนีย์จะออกไป พลัน เสียงรถหวอตำรวจดังเข้ามา ทั้งสามคนมองกันเลิ่กลั่ก

ทรรศนะกับ ทัศนีย์ออกมารับหน้า ตำรวจมาขอเชิญตัวครองสุขไปสอบสวน ปานเทพประคองเสี่ยตงเข้ามา แจ้งข้อหาวางยาพิษ และข้อหาฆ่าคนตาย ครองสุขซึ่งแอบฟังอยู่ตกตะลึง สองพี่น้องบอกว่าครองสุขไม่อยู่ ปานเทพเกลี้ยกล่อมให้ทัศนีย์บอกความจริง ครองสุขหาทางหนี ปลอดเห็นร้องบอกตำรวจ ทรรศนะเข้าขวางอย่าทำอะไรแม่ตน...ครองสุขวิ่งออกมาเจอเจิดกับก้านรายงานว่า จอมทรยศ แต่พวกตนยิงตายแล้ว เธอไม่สนใจหาทางหนี ตำรวจตามมา เจิดกับก้านตกใจยิงสู้กับตำรวจจนตัวตาย ครองสุขขับรถหนีไปได้

ระหว่าง นั้น ปิ่นอนงค์ขับรถมาหาใหญ่ที่ริมบึงโดยไม่รู้ว่าตัวเองโดนยิง แต่เริ่มหน้าซีดอ่อนแรง ใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินไปหา เห็นเปี๊ยกกับถวิลประคองใหญ่ เธอยิ้มดีใจแล้วทรุดฮวบลง

“คุณใหญ่ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย”

“ฉันไม่เป็นอะไรจอมไม่ได้ฆ่าฉัน” ใหญ่คิดว่าปิ่นอนงค์เหนื่อย

ถวิล เล่าว่าจอมโทร.บอกให้มาช่วยใหญ่ จอมรู้ว่าถูกหลอกใช้ตั้งแต่แรก รู้แม้กระทั่งว่าใหญ่เข้าไปหาเธอแทบทุกคืน และจอมแอบได้ยินสมุนคุยกันว่าครองสุขเป็นคนฆ่าอุ่นเรือน จึงตาสว่าง ปิ่นอนงค์นึกได้รีบบอกให้กลับไปช่วยจอมซึ่งถูกยิง ถวิลห่วงลูกวกกลับไปช่วยใหญ่ขยับเข้ากอดปิ่นอนงค์จึงได้รู้ว่าเธอมีเลือด ท่วมตัว

“ปิ่นถูกยิง...ปิ่น ตื่นขึ้นมามองหน้าฉัน ปิ่นๆ” ใหญ่ละล่ำละลัก

“คุณใหญ่ ปิ่นไม่เป็นไร ปิ่นไม่เจ็บเลย คุณใหญ่ไม่ต้องห่วง”

“แข็งใจไว้นะปิ่น เปี๊ยกมาช่วยกัน”

“คุณ ใหญ่ สัญญากับปิ่นนะคะว่าคุณใหญ่จะไม่ผูกใจเจ็บคุณนาย แม่ปิ่น แล้วก็ศัตรูคุณใหญ่ทุกคน ปิ่นไม่ได้ขอเพื่อแม่หรือคนเหล่านั้น แต่ปิ่นขอเพื่อตัวคุณใหญ่เอง ปิ่นอยากเห็นคุณใหญ่ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข” ปิ่นอนงค์อ่อนแรงลงทุกที
ขอขอบคุณจาก thairath.co.th   

อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 16 วันที่ 24 ก.ค. 55

วิยะดาเสนอให้เอาเดือนหน้าเลยดีไหม ตนจะได้โทร.นัดญาติๆ ทุกคนให้เอง เตือนอาทิจว่าให้นัดทนายไว้เลย แล้วชวนแม่กลับ

ตก เย็น อาทิจพาดรุณีขึ้นไปกราบคุณย่า บอกกล่าวเรื่องตนกับดรุณี และขอให้คุณย่าอวยพรให้ตนทั้งสองอยู่เย็นเป็นสุขด้วย ระหว่างนั้นเขาเห็นดรุณีสีหน้าไม่สบายใจถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“ถ้าคุณย่าไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ณีเหมือนอย่างที่ทุกคนคิด พี่อาทิจจะยังรักณีเหมือนเดิมไหม”

“ทำไม พูดอย่างนั้น คุณย่าทิ้งสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดไว้ให้น้องณีจ้ะ สิ่งที่ท่านอบรมสั่งสอนจนหล่อหลอมอยู่ในชีวิตและจิตใจของน้องณี เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดซึ่งคนคนหนึ่งจะพึงให้กับอีกคนหนึ่งได้ รู้ไหม”

“พี่อาทิจ...ขอบคุณนะคะ” ดรุณีน้ำตาซึม

“ถึงเราสองคนจะไม่ได้อะไร พี่ก็เชื่อว่าเราจะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยสองมือของเรา”

ดรุณีโผเข้ากอดอาทิจอย่างอบอุ่นใจ รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายที่แสนดีคนนี้...

คืน นี้เอง น้าแก้วก็เจ้ากี้เจ้าการขนข้าวของเครื่องใช้และที่นอนของอาทิจมาไว้ในห้อง นอนของดรุณี ที่สะดุดตาคือมีกระโปรงยาวถักแต่งด้วยลูกไม้สีขาวที่ตุ่นเคยสเกตช์ให้ดรุณี ดูบอกว่าจะใส่ในวันแต่งงานกับอาทิจกลางสวนส้ม เธอหยิบจดหมายที่แนบไว้ขึ้นมาอ่านให้อาทิจฟังด้วยความซาบซึ้งใจว่า

“ชุด นี่ตุ่นเย็บเองกับมือ คิดว่ามันคงสวยและน่ารักมากเมื่อณีใส่และยืนเคียงข้างพี่อาทิจ ขอให้ณีกับพี่อาทิจมีความสุขมากๆนะจ๊ะ...รักณีและพี่อาทิจ”

ooooooo

เพื่อ ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของคุณย่าที่ต้องการให้อาทิจและดรุณีดูแลและพัฒนาสวนคุณ ย่าให้เจริญเป็นที่พึ่งพิงแก่คนงานได้อย่างมั่นคงและอบอุ่น อยู่กันอย่างพี่น้อง อาทิจและดรุณีจึงลงแรงแข็งขันยิ่งกว่าเดิม

ดรุณี นำผลผลิตจากสวนแบ่งงานให้แม่บ้านแต่ละคนแต่ละกลุ่มค้นคว้าและทำกันอย่างจริง จัง ตุ๊ที่แต่ก่อนวันๆก็ดีแต่เตร่ไปนั่งบ้านโน้นบ้านนี้ไร้สาระก็ได้ทำแยมผลไม้ เป็นอาชีพ ทำแล้วทั้งเพลินทั้งได้เงินจนไพฑูรมานั่งสะกิดตะแหง่วๆ ว่าลืมทำอย่างอื่นไปหรือเปล่า

ส่วนคำมากับ 2 ทองคือทองประสานและทองประสม ก็โขกน้ำพริกเห็ดกันลั่นบ้าน เพราะขายดิบขายดี นักท่องเที่ยวที่มาชมสวนคุณย่าซื้อแล้วติดใจสั่งซื้อกันมากมาย จากที่ตำส่งวันละ 30 กระปุก ดรุณีก็ขอเพิ่มเป็นวันละ 60 กระปุก
สิงห์ทองยังนั่งดวดเช้าดวดเย็น ดรุณีจึงเอาไวน์มะเกี๋ยงมาให้ชิม เพราะเป็นไวน์มีแอลกอฮอล์น้อยป้องกันและรักษาได้หลายโรคมาให้นักดื่มลองชิม ดู สิงห์ทองทำเป็นไม่สนใจ แต่พอดรุณีไปแล้วก็แอบเหล่ ทดลองจิบดู ปรากฏว่าจิบแล้ววางไม่ลง จนสามแม่ลูกที่จับตาดูอยู่พากันอมยิ้ม

ส่วน ทองประศรีอยู่กับบรรยงที่ย้ายไปอยู่ในเมือง วันนี้จึงมาขอรับตะวันไปเลี้ยง เพราะบรรยงเช่าห้องแถวไว้ให้ ทองประศรีขายของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกนักเรียนและจะได้เลี้ยงตะวันไปด้วย ดรุณีทำท่าคิดหนักเพราะทั้งรักทั้งหลง ตะวันที่กำลังน่ารักช่างพูดช่างเอาใจ จนอาทิจสะกิดแขนพยักหน้าเบาๆ เธอจึงปล่อยตะวันให้ไปหาทองประศรี

ก่อน ที่ทองประศรีกับบรรยงจะพาตะวันกลับไป หนูน้อยวิ่งอ้าแขนเข้ามากอดอาทิจไว้เรียกเสียงใส “พ่อทิจจจจจ...” อาทิจกอดหนูน้อยไว้ บอกให้เป็นเด็กดีคิดถึงพ่อทิจก็มาหา น้าแก้วมองตะวันที่เดินกลับไปหาทองประศรีรำพึงเบาๆ

“ยังไงเลือดมันก็ข้นกว่าน้ำ”

ooooooo

วัน นัดเปิดพินัยกรรมฉบับที่ 2 ของคุณย่ามาถึงแล้ว บรรดาลูกหลานของคุณย่าพากันมานั่งฟังอย่างคับคั่ง เมื่อทนายเปิดอ่านพินัยกรรม ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องทนายความที่อ่านพินัยกรรมตาไม่กะพริบ

“ข้าพเจ้า ขอมอบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นตึกแถวในเมืองซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 20 หลังให้กับลูกๆของข้าพเจ้าทั้ง 20 คน ตามรายละเอียดที่แนบมาด้านหลัง และขอมอบเงินสดในธนาคารให้แก่หลานทุกคนเพื่อเป็นทุนการศึกษาคนละ 2 แสนบาท”

บรรดาลูกหลานต่างพากันยิ้มแย้มยินดี แล้วเงียบกริบอีกเมื่อทนายความอ่านพินัยกรรมต่อ

คุณ ย่าให้อาทิจจัดแบ่งเงินในธนาคารให้คนงานที่มีอายุงานเกิน 5 ปี คนละ 2 หมื่นบาท เพื่อเป็นทุนทำอาชีพเสริม ให้แบ่งผลกำไรที่ได้จากการขายพืชผักในสวน ตั้งเป็นมูลนิธิฯเพื่อการศึกษาให้ลูกหลานคนงานปีละ 20% ของผลกำไร

พวก คนงานพากันปรบมือดีใจ บ้างถึงกับน้ำตาคลอที่คุณย่าเมตตาพวกตน วิไลลักษณ์กับลูกบางคนของคุณย่าแสดงท่าทีไม่พอใจนักที่คนงานได้ส่วนแบ่งไป ด้วย แล้วทุกคนก็พากันแปลกใจเมื่อทนายอ่านพินัยกรรมว่า

“ทั้งนี้ นายอาทิจและ น.ส.ดรุณี จะไม่มีส่วนใดๆ ในทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น”

วิไลลักษณ์ฟังแล้วชวนประเวทย์กับวิยะดากลับ ทนายบอกว่ายังไม่จบเพราะยังมีข้อความสำคัญในช่วงท้ายของพินัยกรรมอีก แล้วอ่านต่อ

“แต่ นายอาทิจและ น.ส.ดรุณีจะได้รับมรดกเป็นที่ดินทั้งหมดที่ข้าพเจ้าถือครองคนละครึ่ง ถ้าแบ่งหรือตกลงกันไม่ได้ก็ให้ขายเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ก่อนที่หลานทั้งสองจะขายทรัพย์สินใดๆ ขอให้นึกเสมอว่า ย่าสะสมมาด้วยความเหนื่อยยากก็เพื่อให้หลานได้อยู่อาศัยและใช้เป็นที่ ทำกินไปตลอดชีวิต”
เกิดอาการงันกับบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งลูกทั้งหลานของคุณย่า เพราะที่ดินของคุณย่านั้นมีค่ามหาศาล ส่วนพวกคนงานพากันเฮด้วยความดีใจ ต่างลุกไปแสดงความยินดีและดีใจกับอาทิจและดรุณี

ดรุณีน้ำตาคลอคิดถึงคุณย่าจับใจ ที่ท่านเมตตาเด็กกำพร้าคนนี้มากมายเหลือเกิน...

ooooooo

วิไล ลักษณ์ทำใจไม่ได้ที่พวกตนได้รับมรดกเทียบไม่ได้เลยกับส่วนที่อาทิจและดรุณี ได้รับ วิยะดาปลอบใจแม่ว่า คุณย่าคงเห็นว่าใครจะทำอะไรได้เหมาะถึงได้แบ่งตึกแถวให้เรา

วิยะดา แนะให้แม่ปรับปรุงแล้วเปิดร้านขายสังฆภัณฑ์ เก๋ๆ ขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมสีขาวสีครีมเพื่อคุณแม่และเพื่อนไฮโซจะได้ใส่ไปปฏิบัติ ธรรม  ทำให้วิไลลักษณ์คลายความเครียดลงได้บ้าง

เมื่อไปที่ไร่สตรอ เบอร์รี่  นายอ่องก็พาเด็กหญิง อารุณี ที่อาทิจและดรุณีทำคลอดให้มาสวัสดี บอกว่าตั้งชื่อลูกโดยเอาชื่ออาทิจกับดรุณีมารวมกัน ทั้งสองจับแก้มหนูน้อยอย่างเอ็นดู

วันนี้ ที่เนินฝังเถ้ากระดูกคุณย่า อาทิจใส่เสื้อ

ไหม พรมที่ดรุณีถักให้ ส่วนดรุณีใส่ชุดที่ตุ่นตัดเย็บเตรียมใส่ในงานแต่งงานของตัวเองและยกให้เป็น ของขวัญดรุณี พากันไปกราบเถ้ากระดูกคุณย่า

“ขอบคุณคุณย่ามากนะครับที่รักและไว้ใจให้เราสองคนช่วยกันดูแลสวนที่คุณย่าสร้างมากับมือ”

“เราจะช่วยกันดูแลที่นี่อย่างดีที่สุด ให้สมกับที่คุณย่าไว้ใจนะคะ”

หลังจากไหว้เถ้ากระดูกคุณย่าแล้ว ดรุณีรำพึงถึงความหวังของคุณย่าว่า

“คุณ ย่าย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าคิดว่าแผ่นดินนี้เป็นของเรา เราทุกคนมีที่ดินไว้ก็เพื่ออาศัยทำกิน เพื่อเลี้ยงตัวเองเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”

“แต่เวลาเพียงชั่ว ครู่ชั่วยามในชีวิตของเรา มันก็มากพอที่จะทำอะไรเพื่อเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนร่วมโลก นอกจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องแล้วก็ตัวเราเองด้วยจริงไหม”

“ค่ะ...เราต้องเริ่มเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน คนใกล้ตัว คนงานในสวนก่อน ทุกคนจะได้ช่วยกันขยายความคิดนี้ออกไป”

“คน ใกล้ตัวมีเยอะ คนงานในสวนก็แยะ  แต่ลูกหลานเรายังไม่มี มาช่วยกันคิดก่อนไหมว่าทำยังไงเราถึงจะมีลูกหลานเยอะๆ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงาม”

พูดแล้วอาทิจหันไปทางเถ้าคุณย่า “คุณย่าช่วยหน่อยสิครับ” เขานิ่งไปอึดใจจึงหันบอกดรุณีหน้าตายว่า “คุณย่าไม่ช่วย ท่านบอกให้เราช่วยตัวเอง รบกวนให้ความร่วมมือหน่อยได้ไหม คุณย่าน้อยคนดี...”

คำพูด น้ำเสียง และแววตาออดอ้อนของอาทิจ ทำให้ดรุณีเขินจนก้มหน้าหลบสายตาเขา  ทำให้ดูยิ่งน่ารักน่ากอดน่าหอม อาทิจเชยคางเธอขึ้นหอมที่พวงแก้มแดงเรื่อ อย่างทะนุถนอมและรักสุดหัวใจ

ทั้งสองตระกองกอดกันข้างเถ้ากระดูกคุณย่า  มองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้ากันอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง...

ooooooo

–อวสาน–
ขอขอบคุณจาก thairath.co.th    

อ่านละครพริกกับเกลือ ตอนที่ 1 เร็วๆ นี้

 เริ่มตอนแรก เร็วๆ นี้ ทางละครออนไลน์
       เรื่องย่อ จบบริบูรณ์
       
       “พริกกับเกลือ”
      
       บทประพันธ์ : ชูวงศ์ ฉายะจินดา
       บทโทรทัศน์ : ปิยะมาศ
       กำกับการแสดง : มารุต สาโรวาท
       แนวละคร : ดราม่า
       ผลิต : บริษัท มาสเคอเรด จำกัด โดย : มารุต สาโรวาท
       ออกอากาศ : ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ทางช่อง 7 สี (ต่อจากปิ่นอนงค์)
       ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก ศุกร์ ที่ 3 สิงหาคม -
       จำนวนตอนออกอากาศ : - 15+
      
       ที่โรงแรมหรูแห่งนั้น มีงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของบริษัท “Modern Car” บริษัทนำเข้ารถหรูจากยุโรปของคุณเจตนาและวันดี...สองสามีภรรยาที่กำลังมี เรื่องระหองระแหง เพราะวันดีไม่ไว้ใจในพฤติกรรมของเจตนากับรัตนา เลขาสาวใหญ่ของเจตนา
      
       โดยมี เจ๊ยุพา หัวหน้าเซลส์สาวแก่ช่างเม้าท์ คอยรายงานให้ฟังเป็นระยะ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริง เจตนาและรัตนารู้สึกดีและเกื้อหนุนต่อกัน โดยที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเลยเถิด
      
       จิตราวรรณ หรือ จี๊ด สาวสวยเปรี้ยวเอาแต่ใจและยังไม่ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ลูกสาวของเจตนาและวันดีรีบเร่งมาร่วมงาน จนชนเข้ากับ ดิ่งหรือศยาม ลูกชายคนโตของเศก พี่ชายของศุวิมล เจ้าของบริษัท “Luxurios Car” บริษัทนำเข้ารถยนต์หรูคู่แข่งของเจตนาที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
      
       ดิ่งเพิ่งกลับจากเมืองนอกกระทันหันในสภาพโทรมจัด หลังจากรู้ข่าวจากศุวิมลน้องสาว ว่ามารศรีแฟนของดิ่งกลายเป็นภรรยาของเศก มารศรีนั้นเป็นแฟนของดิ่งที่เมืองนอก จู่ๆ ก็กลับมาเมืองไทยแล้วขาดการติดต่อไป โดยที่ดิ่งไม่รู้ว่า มารศรีใช้มารยาหลอกล่อเศกผู้เป็นพ่อให้ตายใจและไม่มีใครรู้อีกว่ามารศรีกับ ดิ่งเป็นแฟนกัน...เศกตกหลุมพราง จัดงานแต่งงานกับมารศรี
      
       ดิ่งไม่ยอมเข้าบ้าน เขาหลบมาพักและซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ด้วยสภาพหัวใจแหลกสลาย ปล่อยตัวจนทรุดโทรม โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อ กับน้องสาว และมารศรีมาร่วมงานในโรงแรมแห่งนี้ด้วย
      
       เมื่อดิ่งชนกับจี๊ด จนจี๊ดเสียหลักและจะล้ม ดิ่งช่วยประคอง สองสายตาประสานกัน เกิดเป็นภาวะสุญญากาศ ดิ่งและจี๊ดหวั่นไหวด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อจี๊ดตั้งหลักได้ กลับมีแต่คำพูดดูถูกดูแคลนดิ่งออกจากปากของจี๊ด ด้วยสภาพการแต่งตัวและการปล่อยตัวของดิ่งจนดูไม่เป็นผู้เป็นคน แถมกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ที่ดิ่งเพิ่งดื่มย้อมใจ
      
       ดิ่งโกรธที่ถูกดูถูก จึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อจี๊ดทันที ผู้หญิงคนนี้มีแต่เปลือกที่สวยงาม แต่กลับจัดจ้านเผ็ดร้อนเหมือนพริก แถมความคิดที่ชอบกดคนอื่น...น่ารังเกียจ จี๊ดโกรธมากที่โดนดิ่งด่า ด้วยความเป็นคุณหนูที่ถูกเอาใจมาตลอด จี๊ดยิ่งเกลียดดิ่ง คิดว่าเป็นมิจฉาชีพ...ไม่ไว้จะเรียกรปภ.มาลากตัวไป
      
       เสียงโวยวายของจี๊ด ดึงให้เทวัญ ว่าที่คู่หมั้นของจี๊ดที่วันดีและเจตนาหมายมั่นจะให้แต่งงานกันในอนาคตกัน ใกล้ และจี๊ดก็ดูจะชอบพอกับเทวัญมากกว่าเพื่อนชายคนไหน เพราะเทวัญคือผู้ชายที่ช่างเอาใจ แต่น้ำนิ่งไหลลึก ไม่มีใครรู้ใจของเทวัญว่า เจ้าชู้ได้มากขนาดไหน และการแต่งงานกับจี๊ดก็เพียงเพื่อนำไปสู่การยึดครองธุรกิจกันใหญ่โตของครอบ ครัวจี๊ดเท่านั้น ยอดชาย...เพื่อนสนิทของจี๊ดที่แอบหลงรักจี๊ด (ทำงานในบริษัทของเจตนาด้วย) เงาะ เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กที่คอยอิจฉาจี๊ดมาตลอด โดยเฉพาะการแทงข้างหลัง คอยหยอดหวานให้เทวัญ เพราะหวังเคลมชายหนุ่มหน้าตาดี อนาคตไกลโดยที่จี๊ดไม่รู้เรื่อง กับ ใจดี เพื่อนสนิทอีกคนของจี๊ดที่จิตใจดีสมชื่อ ดิ่งเห็นท่าไม่ดี จึงรีบหลบออกไป...ก่อนที่ทุกคนจะเข้ามาเห็น....ยกเว้นมารศรีที่คลับคล้าย คลับคลาว่าเห็นดิ่ง...และติดใจสงสัย ว่าดิ่งจะไม่ได้ยังอยู่ที่เยอรมันเพื่อเรียนให้จบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ เครื่องยนต์อย่างที่ทุกคนเข้าใจ
      
       จี๊ดไม่ชอบหน้ารัตนา เพราะปักธงในใจว่าขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อยย่อมเป็นคนเลว และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบ เมื่อตามหาเทวัญไม่เจอ เพราะเทวัญแอบไปคุยลับๆกับเงาะ จี๊ดจึงชวนยอดชาย ที่กำลังทะเลาะกับศุวิมลด้วยเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง ให้ออกไปจากงาน ยอดชายตามใจจี๊ด เพราะต้องการหนีไปจากการถูกศุวิมลสั่งสอนเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ (ศุวิมลเป็นครู...จึงติดนิสัยชอบสอนคนอื่น)
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

อ่านละครนางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 2 วันที่ 24 ก.ค. 55

 เย็นย่ำ ธัมโมอยู่ที่บ้านพัก และอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจัดข้าววางที่โต๊ะทำงานภายในห้องนอน ผู้กองหนุ่มหยิบแฟ้มงานจากกระเป๋า รวมทั้งตำราต่างๆ มาวางเข้าที่ รวมทั้งหนังสือธรรมะเล่มโปรดที่เขาเป็นอ่านประจำ
     
       ธัมโมหยิบหนังสือธรรมะเล่มนั้นมาดูอย่างมีความหมาย ก่อนจะพลิกดูภายในเล่มแล้วจึงเห็นว่ามีภาพถ่ายคั่นอยู่รูปหนึ่ง เป็นภาพของธัมโมกับเพลินตาคนรักของเขาในอดีต
       ธัมโมมองรูปถ่ายใบนั้นอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะได้ยินเสียงของย้งดังขึ้น
       “ผู้กองครับ ผู้กอง อยู่รึเปล่าครับ”
       ธัมโมโผล่หน้าไปดูที่หน้าต่าง “ว่าไงย้ง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
       ย้งมองซ้ายแลขวา “พวกไอ้กำนันศรครับ ผมเห็นมันขนอาวุธไม่รู้จะไปฆ่าใคร”
       ธัมโมใคร่ครวญครุ่นคิด นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาครามครัน
     
       จากเย็นย่ำเป็นค่ำคืน รัตติกาลมาเยือนแล้ว ความมืดปกคลุมไปทั่วบ้านไม้งาม ธัมโมขับรถมาจอดที่หน้าโรงพัก แล้วบอกกับย้งที่โดยสารมาด้วยกัน
       “ขอบใจมากนะย้ง นายกลับไปเถอะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง”
       ย้งยังรู้สึกเป็นห่วง “ระวังตัวนะครับผู้กอง”
       ย้งลงรถแล้วเดินจากไป ขณะที่ไชโยกับโอฬารเดินออกมา ไม่สวมชุดเครื่องแบบทั้งคู่เพราะออกเวรแล้ว แต่ในมือถือแก้วน้ำสีอำพัน กับจานไก่ย่างที่เป็นกับแกล้ม
       “ใครมาวะ” ไชโยสงสัย
       โอฬารเขม้นมอง “อุ๊ยผู้กอง”
       ไชโยกับโอฬารรีบซ่อนเหล้าและกับแกล้มไว้ข้างหลัง
       ธัมโมเอ่ยขึ้น “คืนนี้เราอาจจะมีแขก พวกนายสองคนต้องอยู่เป็นเพื่อนชั้น”
       ไชโยท้วง “แต่พวกเราออกเวรแล้วนะครับผู้กอง”
       ธัมโมขยับมองดุๆ
       ไชโยรีบรับคำ “เอ่อไม่เป็นไรครับ ออกแล้วก็เข้าใหม่ได้” หันไปพยักเพยิดกับโอฬาร “เนอะ”
       โอฬารครวญ “โธ่ ว่าจะชวนน้องหมวยใหญ่ไปดูหนังกลางแปลงซะหน่อย อดเลย”
     
       ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตงเวลานั้น เถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่กำลังเก็บร้าน ขณะที่ครูเพิ่มกับเก่งเดินมาด้วยกันพอดี หมวยใหญ่พอเห็นเก่งก็เนื้อเต้น ทิ้งของในมือไปโดนเท้าพ่อจังๆ
       หมวยใหญ่ดี๊ด๊า “อั๊ยยะ เจอกันอีกแล้ว”
       “จะรีบปิดร้านไปไหนเถ้าแก่ รอลูกค้าก่อน” ครูเพิ่มเอ่ยขึ้น
       “อ้อ อาครูเพิ่มลื้อจะเอาอะไร”
       “ไม่ต้องถามหรอกป๊า ขานี้ลื้อถามว่าจะรับเป็นกลมหรือเป็นแบนดีกว่า” หมวยใหญ่เหน็บ
       “ยังหรอกหมวยที่บ้านยังมีอยู่ ชั้นพาหลานมาซื้อของใช้ส่วนตัวต่างหาก
       เถ้าแก่ตงประหลาดใจ “หา นี่อาเก่งเป็นหลานครูเพิ่ม ไอ้หยาแบบนี้ กากี่นั๊งคนกันเองน่อ”
       หมวยใหญ่ปะเหลาะ “ต๊ายยมิน่า ท่าทางเหมือนคนมีการศึกษา ที่แท้ก็เป็นหลานครูเพิ่มนี่เอง ว่าแต่น้องเก่งจะซื้ออะไรบ้างจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้”
       “เอ่อ ก็พวกสบู่แชมพูน่ะครับเจ๊ พอดีไม่ได้พกติดตัวมา” เก่งบอก
       “เอาเลยตามสบาย เข้าไปเลือกเองก็ได้ ร้านอั้วมีทุกอย่างยกเว้นน้ำมันเบนซิน”
     
       ครูเพิ่มงง “มีใครมาซื้อเหรอเถ้าแก่”
       เถ้าแก่ตงบอก “ก็พวกไอ้ยอดน่ะสิ มาถามหาตะกี๊ ไม่รู้จะเอาไปเผาศพเตี่ยมันหรือไง”
       เก่งครุ่นคิดอย่างเอะใจ
     
       ยอด เบิ้มและบรรดาสมุนซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดในป่าหญ้าใกล้โรงพักแล้ว
       เบิ้มถาม “จะบุกตอนไหนดีพี่ยอด”
       “รอให้ค่ำกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงมือ พวกมันต้องคิดไม่ถึงแน่” ยอดมั่นใจมาก
     
       เส้นทางจากบ้านครูเพิ่มไปโรงพักขณะนั้น
       เก่งอยู่ในคราบนางสิงห์ชุดดำท่วงท่าทะมัดทะแมง กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพักบ้านไม้งาม โดยการกระโดด ตีลังกา ก่อนจะตบท้ายปิดจ๊อบด้วยการยิงลูกตุ้มโซ่จากพลองศอกเพื่อโหนตัวขึ้นไปบน หลังคา แล้ววิ่งไปอย่างคล่องแคล่ว เงียบเชียบราวกับแมวป่าตัวหนึ่ง
     
       ที่พงหญ้าใกล้โรงพัก บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คุ้นตา ดูเหมือนจะเหาะเหินข้ามศรีษะพวกของยอดไป
       ยอดเห็นเงาดำๆ ที่พื้นเคลื่อนที่ไป จึงรีบเงยหน้ามองหา
       เบิ้มสงสัย “อะไรเหรอพี่”
       “ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมันผ่านหัวไป เอ็งเห็นรึเปล่าวะ” ยอดว่า
       เบิ้มส่ายหน้าอย่างงุนงง ขณะที่ยอดได้แต่รู้สึกประหลาดใจ
     
       ที่บนกิ่งไม้กิ่งนั้น เก่งในชุดของนางสิงห์ดำ โหนตัวมายืนบนกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการณ์แรกกำลังเปิดฉากขึ้น ณ บัดนาว
 จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาเปิดคลังแสงอาวุธประจำโรงพัก เพื่อหยิบปืนยาวสำหรับเข้าเวร
       
       แทนที่จะได้ลั้นลาก๊งน้ำสีอำพัน จ่าไชโยเลยบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ ไม่รู้จะเข้มงวดอะไรนักหนา มาถึงก็สั่งโน่นสั่งนี่ แทนที่จะเลี้ยงข้าวรับขวัญลูกน้อง ไม่มีล่ะ ทำงานแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ”
       หมู่โอฬารผสมโรง “นั่นสิจ่า ไอ้เรามันเช้าชามเย็นชาม แต่นี่ไม่มีสักชามทำงานแบบนี้มันเสียกำลังขวัญสุดๆ”
       “ขืนปล่อยไว้จะยิ่งได้ใจ” จ่าไชโยปรารภ
       หมู่โอฬารเอาด้วย “ถ้างั้นเราต้องแข็งข้อ ผู้กองจะได้รู้ซะบ้างว่าขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
       จ่าไชโยร้องเพลง “วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
       หมู่โอฬารร้องตามท่อนต่อมา “วันใดสำนึกแล้วเธอจะเสียใจ”
     
       เสียงร้องเพลงของสองคู่หูหมู่กะจ่า ไชโยกับโอฬารที่ลอยมาแว่วๆ สามโจรที่อยู่ในห้องขังยังไม่หลับนอน กำลังปรึกษาหารือกันเครียดอยู่
       “พี่…พี่แน่ใจรึเปล่าว่ากำนันศรจะส่งคนมาช่วยพวกเรา” ลูกน้องเอ่ยขึ้น
       “ก็ลองไม่ส่งมาสิวะ ข้าจะแฉให้หมดเปลือกเลยว่ากำนันเป็นคนสั่งพวกเราให้ปล้นรถโดยสาร” ลูกพี่ท่าทางหงุดหงิด
       “ฮึย ขืนทำแบบนั้นกำนันเอาตายเลยนะพี่” ลูกน้องอีกคนว่า
       “เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะตายก่อน” ลูกพี่ใหญ่บอกฉุนๆ
     
       เวลาเคลื่อนคล้อย ที่ป่าหญ้าใกล้โรงพัก ยอดมองพระจันทร์บนท้องฟ้า เห็นว่าดึกมากแล้วก็สั่งการ
       “ลงมือ !!!”
       สมุนคนหนึ่งหิ้วแกลอนน้ำมันปลีกตัวไปที่ข้างๆ โรงพักอีกทาง ตรงบริเวณเก็บวัสดุก่อสร้าง
     
       สมุนของยอดย่องมาที่กองวัสดุก่อสร้างใกล้โรงพัก แล้วเอาน้ำมันราดจนทั่ว แล้วจุดไม้ขีด ไฟสว่างพรึ่บ เปลวเพิงลุกไหม้ตามรอยน้ำมัน
     
       ธัมโมกำลังรื้อแฟ้มงานเก่าๆ ในห้องมาอ่าน ระหว่างตรวจเช็คหรือจัดเก็บอยู่นั้น จมูกเขาก็ได้กลิ่นเหมือนอะไรเหม็นไหม้ พร้อมทั้งเสียงหมาเห่าแว่วมา
       “ใครมาเผาอะไร ดึกดื่นป่านนี้”
       ธัมโมทะยานไปดูที่หน้าต่างห้องทำงาน มองฝ่าความมืดออกไป
       “เฮ้ย ไฟไหม้”
     
       ธัมโมรีบรุดออกมาเร็วรี่ เจอเข้ากับจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่หอบปืนออกมาพอดี
       “ผู้กองไฟไหม้ครับ” จ่าไชโยรายงาน
       “ผมเห็นแล้ว พวกคุณรีบดูเร็วเข้า ทางนี้ผมจัดการเอง”
       “ครับผม” จ่าไชโยรับคำสั่ง
       หมู่โอฬารสงสัย “ต้องเอาปืนไปด้วยมั้ยจ่า”
       “ไฟไหม้ จะถือปืนไปทำป้าเหรอหมู่ วางไว้นี่ก่อน” จ่าไชโยบอก
     
       สมุนคนเดิมย้อนกลับมาสมทบกับยอดที่จุดซ่อนตัว
       “เรียบร้อยแล้วพี่ยอด”
       ยอดพยักหน้า สายตายังจับจ้องไปที่หน้าโรงพัก และเห็นจ่าไชโยกับหมู่โอฬารลุกลี้ลุกลนไปดูที่ต้นเพลิง ยอดยิ้มกริ่มก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมมาสวมอำพรางหน้าตา เบิ้มและลูกน้องคนอื่นทำตาม
       ยอดให้สัญญาณ “บุกโว้ยพวกเรา”
       เปลวเพลิงกำลังลุกลามโหมไหม้กองวัสดุ จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาถึง
       จ่าไชโยแปลกใจ “อะไรของมันวะ จู่ๆไฟไหม้ได้ยังไง”
       หมู่โอฬารรีบบอก “อย่าเพิ่งถามเลยจ่า ช่วยกันดับก่อนเถอะ”
     
       ธัมโมอยู่ที่โถง กำลังชะเง้อดูเหตุการณ์เพลิงไหม้อยู่ที่หน้าต่างด้วยความกังวล แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงผิดสังเกตบางอย่างจึงหันไป และเห็นพวกของยอดกำลังบุกเข้ามาในโรงพัก
       “เฮ้ย” ธัมโมตะโกนก้อง
     
       แต่ยอดกับพวกยกปืนยิงใส่ธัมโมก่อน  ธัมโมรีบชักปืนยิงสวนทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
จ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่กำลังดับไฟที่โหมไหม้ตรงกองวัสดุก่อสร้าง หันไปทางโรงพักเพราะเสียงปืน
       
       “เสียงปืนดังมาจากโรงพักนี่จ่า รีบกลับไปช่วยผู้กองกันเถอะ” หมู่โอฬารชวน
       “เฮ้ยเดี๋ยว จะรีบไปตายเหรอหมู่ รอดูสถานการณ์ไปก่อนก็ได้”
       หมู่โอฬารห่วงธัมโม “อ้าวแล้วผู้กอง…”
       “ผู้กองเป็นคนเก่ง เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เชื่อสิ”
       หมู่โอฬารลังเลสองจิตสองใจ ระหว่างกลัวตายกับเป็นห่วงผู้กอง
     
       ธัมโมยิงต่อสู้กับพวกของยอดอย่างดุเดือด
       “มันสู้ไม่ถอยเลยพี่ยอด เอาไงดีพี่” เบิ้มชักหนักใจ
       “เอ็งอ้อมไปด้านหลัง แล้วพานักโทษหนีไป ทางนี้ข้าจัดการเอง” ยอดบอกแผน
     
       ทางด้านพวกโจรปล้นรถบัสที่อยู่ในห้องขังต่างกำลังกระวนกระวายกับเสียงปืน ก่อนที่จะเห็นเบิ้มปีนมาทางหน้าต่าง
       “พี่เบิ้ม” โจร 1 ใน 3 ดีใจ
       เบิ้มชักปืนออกมายิงแม่กุญแจทิ้งทันที
     
       ธัมโมอยู่ในห้องโถงบนโรงพัก พอได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
       “ไอ้หมาลอบกัด โดนมันตลบหลังจนได้”
       ยอดกับพวกระดมยิงใส่ธัมโมไม่ยั้ง ธัมโมยิงตอบโต้จนกระสุนหมดจึงรีบหลบเข้าที่กำบัง
       “ไงวะผู้กอง เงียบแบบนี้ กระสุนหมดสิท่า ถึงคราวตายล่ะมึง” ยอดตะโกนเย้ย
       ธัมโมมองไปเห็นปืนยาวที่จ่าไชโย กับหมู่โอฬารวางไว้บนโต๊ะก็ตัดสินใจพุ่งตัวออกไป
       ธัมโมวิ่งฝ่าดงห่ากระสุน แล้วกระโดดไถลตัวลีลาอย่างเท่ ไปคว้าปืน ก่อนจะพลิกตัวพลิกกลับมากระหน่ำยิงใส่พวกยอด
       “ไอ้เลวเอ๊ย มันไม่กลัวตายหรือไงวะ” ยอดอดทึ่งไม่ได้
     
       เบิ้มและพวกโจรทั้งสาม กระโดดหนีลงมาทางหน้าต่างหลังโรงพักจนครบ เบิ้มยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณสามนัด
       ยอดได้ยินเสียงสัญญาณก็สั่งกับลูกน้อง
       “ไอ้เสือถอยโว้ย”
       ธัมโมได้ยินเสียงยอดตะโกนบอกเช่นนั้นก็หูผึ่ง จะลุกขึ้นตามไป แต่ถูกพวกมันยิงสะกัดเอาไว้
       เบิ้มสั่งการกับพวกโจร “รีบไปที่จุดนัดเร็ว”
       จังหวะนั้นเอง พลองศอกข้างหนึ่งในมือนางสิงห์ดำ ยิงลูกตุ้มติดโซ่เส้นเล็กๆ มาพันกิ่งไม้ ก่อนที่จะเห็นนางสิงห์ดำกระโดดลงมายืนขวางทางเบิ้มกับพวกไว้
       “เฮ้ย ใครวะ” เบิ้มแปลกใจ
       นางสิงห์ดำสะบัดแขน พลางกดสวิทซ์กลไกที่พลองศอก ลูกตุ้มติดโซ่ถูกดึงกลับเข้าที่ นางสิงห์ดำสะบัดพลองศอกในมือขวับๆ ท่าทีโคตรคล่อง ก่อนจะตั้งการ์ดพร้อมลุย วาดเท้ากวาดเฉียงไปด้านหลัง จนบังเกิดเป็นรอยเสี้ยววงกลมบนพื้น
       เบิ้มเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกปืนขึ้นเล็ง ทว่าจังหวะนั้นนางสิงห์ดำก็พลิกตัวเตะปืนในมือมันอย่างว่องไว จนหลุดมือไป แล้วประเคนพลองศอกเล่นงานมันจนเซไปหาพวกลูกน้องโจร
       “จะยืนมองหาญาติอยู่ทำไมวะ ช่วยกันสิโว้ย” เบิ้มฉุนขาด
       โจรทั้งสามได้สติ รีบกรูกันเข้าไปเล่นงานนางสิงห์ดำ แต่ทั้งหมดก็โดนฤทธิ์พลองศอกกระหน่ำจนเซถลาไปคนละทิศละทาง
       จังหวะนั้นเองจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่เพิ่งเดินย้อนกลับมาที่โรงพัก หลังจากเห็นว่าเสียงปืนเงียบไป ทั้งคู่เมื่อเห็นฉากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนางสิงห์ดำกับพวกเบิ้ม จึงซุ่มดูด้วยความแปลกใจ
       “อะไรวะนั่น” จ่าไชโยแปลกใจ
       “ก็นักโทษไงจ่า มันกำลังหนี” โอฬารว่า
       “ไม่ใช่ ข้าหมายถึงยัยชุดดำนั่นต่างหาก มันใครกันวะ” ไชโยหงุดหงิด
       “ไม่ถามก็ไม่รู้หรอกจ่า แสดงตัวเหอะ”
       “เออดี” จ่าไชโยตะโกนออกไป “เฮ้ยนี่ตำรวจ ทุกคนยกมือขึ้น”
       เบิ้มเห็นตำรวจมาก็วิ่งหนีหายในความมืดทันที ขณะที่โจร 1 ใน 3 ที่ชื่อไอ้โปรย โผไปคว้าปืนของเบิ้มที่หล่นอยู่ขึ้นมาทำท่าจะยิงใส่ จึงถูกจ่าไชโยวิสามัญดับคาที่ ขณะที่อีกสองคนยืนตะลึง
       “ไอ้โปรย”
       หมู่โอฬารโผล่ออกมาคุมเชิงโจรทั้งสอง “อยู่เฉยๆ นะโว้ย ไม่งั้นยิงไส้แตก”
       ขณะที่จ่าไชโยหันมาพูดกับนางสิงห์ดำ “เธอก็เหมือนกัน อย่าขยับ แล้วบอกมาซิว่าเป็นใครกันแน่
       “ชั้นคือยมทูตแห่งบ้านไม้งาม คือคนที่จะมาลงทัณฑ์พวกคนร้าย”
       ว่าแล้วนางสิงห์ดำก็เตะฝุ่นเตะใบไม้ใส่หน้า จ่าไชโยจนหันไป เก่งในคราบนางสิงห์ดำฉวยโอกาสนั้นยิงลูกตุ้มจากพลองศอกของตนไปพันกิ่งไม้ ก่อนจะกดกลไกดึงตัวเองหายลับไปในพริบตา
     
       จ่าไชโยมารู้ตัวอีกที ก็อีตอนเห็นใบไม้ร่วงกราวจึงหันไปดูด้วยสีหน้าฉงน
       “อ้าวเฮ้ย หายไปไหนแล้ววะ”
     
       ภารกิจแรกของนางสิงห์ดำ หน้ากากแดง ที่หวังจะคืนความสงบสุขให้บ้านไม้งาม ลุล่วง!!!
ขอขอบคุณจาก manager.co.th     

อ่านละครมณีแดนสรวง ตอนที่ 5 วันที่ 23 ก.ค. 55

   ชิโลกับอุ้มสมนั่งหน้าจ๋อยอยู่ที่โซฟา สการยืนจ้องทั้งคู่หน้าตาดุดัน ส่วนนารีถึงกับแปลกใจ
      
       “ตาแซม ที่เล่ามาเนี่ย จริงเหรอ”
       “ผมจะโกหกแม่ไปทำไม ยัยนี่แหละที่ไปป่วนงานของไอ้รัณจนมันไม่ได้แต่งงาน แถมยังเล่นงานผมอีก”
       ชิโลเถียง
       “ฉันไม่เคยคิดทำร้ายคุณ แต่คุณกัดฉันไม่ยอมปล่อย ฉันก็เลยต้องสั่งสอนบ้าง”
       “หุบปาก...ฉันยังไม่สั่งให้เธอพูด”
       “ฉันจะพูด ในเมื่อความผิดที่ฉันทำไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดฆ่าคนตาย เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์จับฉันไว้แบบนี้”
       “หัวหมอนักนะยัยตัวแสบ...แบบนี้เห็นทีต้องพาไปเคลียร์ที่โรงพักแล้ว”
       “ฉันไม่ไป..ฉันมีเหตุผลที่ฉันต้องทำไปแบบนั้น”
       สการไม่สนใจทั้งฉุดทั้งดึงจะพาออกไป นารีรีบไปขวาง
       “ปล่อยแม่หนูคนนี้ไปเถอะตาแซม แม่ขอ”
       “แม่ !! แม่ไม่รู้หรอกครับว่ายัยนี่สร้างความวุ่นวายให้กับพวกผมมากแค่ไหน”
       “เท่าที่แม่ฟังเราเล่ามาก็มีแค่ทำให้งานแต่งของดรัณล่ม มันก็ไม่น่าจะเป็นความผิดถึงขนาดต้องจับเข้าคุกเข้าตะรางนี่ ทำไมไม่ลองฟังเหตุผลเขาก่อน”
       อุ้มสมรีบสอดทันที
       “ใช่ครับคุณป้า...ไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้ฆ่าคนตาย ความผิดแค่หางอึ่ง ถ้ารู้ความจริงว่าทำไมต้องทำ จะรู้ว่าชิโลดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน”
       สการหันขวับมาที่อุ้มสมทำเอาอุ้มสมตกใจรีบถอยไปหลบหลังนารี สการจะลากชิโลออกไปด้วยกัน
       “คุณป้า..ช่วยชิโลด้วย”
       “หยุดนะตาแซม แม่ขอคุยด้วย…ตอนนี้เลย”
       สการนิ่งไปมองแม่ที่ดูจริงจังขึ้นมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
      
       นารีพาสการมาคุยกันสองต่อสอง ขณะที่ชิโลถูกสการจับใส่กุญแจมือล็อคเอาไว้กับขาโต๊ะ
       “ถึงกับต้องใส่กุญแจมือเขาไว้แบบนี้เลยเหรอ” นารีมองไม่พอใจ
       “ยัยนั่นไวอย่างกับปรอท ผมไม่ไว้ใจครับ”
       “บอกแม่มาสิตาแซม แม่หนูชิโลทำความผิดอะไรนักหนา เราถึงจ้องจะเอาเรื่องเขาไม่ยอมปล่อยแบบนี้”
       “ผมอธิบายให้แม่ฟังไม่ได้ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีที่ผมกำลังทำอยู่”
       “ร้ายแรงมากเลยเหรอ”
       “ไม่ได้ทำให้มีใครตายหรอกครับ แต่พอแม่นี่โผล่แผนการที่พวกผมวางไว้ก็พังหมด”
       “แต่แม่รู้สึกว่าหนูชิโลไม่ใช่คนไม่ดีเลย ถ้าเธอบอกว่ามีเหตุผลที่ต้องทำไปแบบนั้น เราก็ควรจะฟังเขาก่อน”
       “แม่เพิ่งเจอยัยนั่นแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แม่จะไปตัดสินได้ยังไงว่ายัยนั่นไม่ใช่คนไม่ดี”
       นารีนิ่งแล้วมองไปยังชิโลที่ถูกใส่กุญแจมือล็อคเอาไว้ ชิโลพยายามแกะกุญแจมือจนเจ็บข้อมือหันไปบอกอุ้มสม
       “ทำอะไรสักอย่างสิอุ้มสม เราไม่ชอบถูกใส่กุญแจมือไว้แบบนี้เลย”
       “สภาพเราตอนนี้จะช่วยอะไรเจ้าได้ เราไม่อยากโดนผู้กองนั่นชักปืนไล่ยิงอีกนะ”
       นารีไม่ได้ยินที่สองคนนั้นซุบซิบกันแต่ยิ่งดูชิโลแล้ว ก็ยิ่งอดสงสารไม่ได้เมื่อคิดถึงปมในอดีตของตัวเอง
      
       ในอดีต...นารีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลอย่างสงบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในวัด หลวงพ่อเดินเข้ามาคุยกับนารี
       “มาทำบุญให้เขาอีกเหรอโยม”
       “ค่ะหลวงพ่อ ถึงจะผ่านมาหลายปี แต่ดิฉันก็ยังรู้สึกผิด...เพราะดิฉันดูแลเขาไม่ดี เขาถึงต้องจากดิฉันไป”
       น้ำตาของนารีไหลอาบแก้ม ด้วยความเสียใจ
       “อย่าโทษตัวเองเลยโยม โยมเป็นแม่ที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ”
       “ดิฉันอยากทำบุญให้เขาเยอะๆค่ะ”
       “โยมไม่ต้องกังวลไปหรอก ลูกโยมเขาไปอยู่ในภพภูมิที่ดีที่สูงกว่าแล้ว บุญกุศลของโยมอาจจะส่งให้โยมได้พบกับเขาในวันข้างหน้า”
       “จริงเหรอคะหลวงพ่อ”
       “หมั่นทำบุญ รักษาศีลไว้เถอะโยม”
       หลวงพ่อพูดเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไปอย่างสงบ นารีได้แต่มองตามด้วยความสงสัย
      
       นึกถึงอดีตแล้ว นารีหันกลับมาบอกลูกชาย
       “ถึงแม่จะได้เจอหนูชิโลแค่แป๊บเดียว แต่แม่ก็รู้สึกว่าหนูชิโลเป็นคนดี เธอต้องไม่มีพิษมีภัยกับใครแน่ จริงๆนะตาแซม”
       “แม่ครับผมว่าแม่ตัดสินคนจากภายนอกเร็วเกินไป”
       “แม่เป็นครูนะตาแซม แม่เจอคนมาเยอะ ดูแป๊บเดียวแม่ก็รู้ว่าใครดีไม่ดี เชื่อแม่นะ ฟังเหตุผลของหนูชิโลเขาก่อน”
       นารีจับมือลูกชายมากุมเอาไว้แล้วอ้อนวอนขอร้อง สการรู้สึกอึดอัดใจ
       “ผมปล่อยยัยนี่ไปเฉยๆไม่ได้หรอกครับแม่ เมื่อกี้นี้ก็เพิ่งมีคนบุกเข้าไปในห้อง ท่าทางไม่ได้มาปล้นแน่ๆ ยังไงผมก็ต้องสอบปากคำเธอ”
       “ตาแซม !!”
       “แต่ผมรับปากครับว่าถ้ายัยนั่นไม่ได้มีพิษมีภัยจริงๆอย่างที่แม่ว่า ผมจะพากลับมา”
       สการบอกแม่เสร็จก็เดินไปหาชิโล เอาลูกกุญแจมาช่วยไขปลดล็อคกุญแจมือ
       “จะปล่อยฉันแล้วเหรอ”
       “เปล่า...ฉันจะพาเธอไปสอบปากคำ”
       ชิโลตกใจ
       “อุ้มสม...คุณป้า”
       นารีกับอุ้มสมได้แต่ยืนหน้าเสียทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้สการพาตัวชิโลออกไป
      
       สการพาชิโลที่ถูกใส่กุญแจมือมาที่รถเปิดประตูแล้วสั่งให้เข้าไปนั่ง
       “เข้าไปนั่งสิ”
       ชิโลยืนเฉยเชิด
       “อย่าให้ฉันต้องลงมือกับเธอนะยัยตัวแสบ”
       “เลิกเรียกยัยตัวแสบซะที ฉันชื่อชิโล ชื่อเสียงเรียงนามมี ช่วยเรียกให้ดูเป็นมนุษย์หน่อย”
       สการมองแล้วยิ้มเยาะ
       “ได้..ยัยลิเกหลงโรง”
       สการจับหัวชิโลกดลงแล้วดันให้เข้าไปนั่งในรถ ชิโลร้องเจ็บโวยวาย
       “นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์มาแตะเนื้อต้องตัวเรานะ”
       สการไม่สนใจปิดประตูใส่แล้วอ้อมมานั่งที่เบาะคนขับ พร้อมกดมือถือโทรออก
       “คุณตรีชฎาช่วยตามผู้กองดรัณให้ผมหน่อย ผมโทรเข้ามือถือแล้วไม่รับสาย”
       ชิโลชะงักไปทันทีที่ได้ยินชื่อผู้กองดรัณ ตรีชฎาบอกให้รู้...
       “ผู้กองดรัณกำลังตามคดีอยู่ค่ะ”
       “งั้นช่วยบอกเขาทีว่าผมได้ตัวยัยตัวป่วนงานแต่งมาแล้ว จะพาเข้าไปสอบปากคำเดี๋ยวนี้”
       สการกดปิดสาย ชิโลหันมาหน้าครุ่นคิด
       “จะพาฉันไปพบผู้กองดรัณเหรอ”
       “ใช่...คนที่เธอไปอ้างว่าเป็นกิ๊กกับเขาไง”
       “หึ....เชอะ !!”
      
       ชิโลสบัดหน้าใส่สการปล่อยให้เขาขับรถพาเธอไปสอบปากคำอย่างไม่โวยวาย เพราะเป้าหมายของเธอคือการได้พบกับดรัณ
 ดรัณกำลังเดินไปที่ห้องสอบสวน แต่ระหว่างนั้นเจอมัดหมี่ที่รีบเข้ามาพบเรียกชื่อดังลั่น
       
       “อ้าวคุณมัดหมี่…มาทำอะไรที่นี่ครับ”
       “มาทำงานสิคะ”
       “นึกว่ามารอเจอไอ้แซมซะอีก”
       “แหม...ก็ด้วยแหละค่ะ พอดีมีข่าวน่าสนใจมัดหมี่ก็เลยแวะมาดู กะว่าเสร็จงานแล้วจะชวนผู้กองแซมไปดินเนอร์ต่อ”
       “คงลำบากหน่อยครับ เมื่อกี้นี้ไอ้แซมเพิ่งส่งข่าวมาบอกว่าได้ตัวผู้หญิงที่มาป่วนงานแต่งผมแล้ว ตอนนี้กำลังพามาที่นี่คงต้องสอบปากคำกันยาว”
       มัดหมี่แอบเซ็ง
       “เหรอคะ...แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้มัดหมี่ขอทำงานก่อนดีกว่า ได้ยินว่าผู้กองเป็นคนดูแลคดีคุณหมอศักดิ์ชัย แพทย์ศัลกรรมมือหนึ่ง เจ้าของศักดิ์ชัยคลีนิค สวยหล่อกว่าเกาหลี ที่เพิ่งถูกพบตัวหลังจากหายตัวไปอย่างลึกลับใช่มั้ยคะ”
       “ครับ...คุณมัดหมี่กำลังทำข่าวเรื่องนี้”
       “ค่ะ...ทีมงานของมัดหมี่ไปสัมภาษณ์คนที่เจอคุณหมอ ได้ข้อมูลมาว่าคุณหมอมีอาการเสียสติ เอาแต่พูดว่าตัวเองถูกพวกอสูรจับไป มัดหมี่ก็เลยอยากได้ข้อมูลที่แท้จริงน่ะค่ะ”
       “ครับ ผมเชิญคุณหมอมาที่นี่จะสอบถามความจริงอยู่พอดี”
       “ถ้างั้น...มัดหมี่รบกวนผู้กองนิดนิงนะคะ” มัดหมี่ทำหน้าออดอ้อนสุดฤทธิ์ “นะคะ...นะคะผู้กอง”
       ดรัณนิ่งไปเจอลูกอ้อนของมัดหมี่แล้วใจอ่อน
      
       ภายในห้องสอบปากคำ มัดหมี่กับดรัณนั่งตรงข้ามหมอศักดิ์ชัย ที่ดูภายนอกแล้วเหมือนคนปกติทุกอย่าง เพียงแต่จะนั่งเงียบสายตาคอยมองรอบๆตัวอย่างระวังตลอดเวลา
       “คุณหมอคะ...สวัสดีค่ะ คุณหมอรู้จักมัดหมี่มั้ยคะ”
       หมอศักดิ์ชัยหันมามองอยู่ครู่
       “คุณมัดหมี่...จำได้สิครับจมูกที่ทำไปให้ มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”
       มัดหมี่ ชะงักอึ้ง
       “แล้วที่นัดมาเหลาคางกับทำนม จะมาเมื่อไหร่ครับ”
       ดรัณแอบมองหน้ากับมองหน้าอกแล้วแอบขำ มัดหมี่ชะงักหน้าเสียรีบเปลี่ยนเรื่อง
       “คุณหมอคะ...มัดหมี่ไม่ได้มาคุยเรื่องศัลยกรรมกับคุณหมอนะคะ คือ...มัดหมี่อยากสอบถามคุณหมอเรื่องที่คุณหมอถูกลักพาตัวไปค่ะ”
       มัดหมี่ถามเสร็จ หมอศักดิ์ชัยถึงกับมีท่าทางหวาดกลัวขึ้นมาทันที ดรัณถามย้ำ
       “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับหมอ..พวกที่มาลักพาตัวหมอไป...พวกมันเป็นใคร”
       “อสูร...ปีศาจ...พวกมัน...พวกมันเป็นอสูร..กลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย”
       หมอศักดิ์ชัยตกใจกลัวรีบลุกไปคุดคู้ที่มุมห้อง ดรัณกับมัดหมี่มองหน้ากันอย่างแปลใจ
       “ถ้าพวกนั้นเป็นอสูรอย่างที่หมอว่าจริงๆ แล้วพวกนั้นมาลักพาตัวหมอไปที่ไหน แล้วพาไปทำไมคะมัดหมี่พยายามถามต่อ”
       “พวกมัน...พวกมัน....”
      
       หมอศักดิ์ชัยเล่าถึงเหคุการณ์ที่ผ่านมาว่า...ขณะที่เขาเพิ่งจะเสร็จ งาน และกำลังเก็บกระเป๋าออกจากห้องทำงาน ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเจอชายสองคนในชุดสูทสีดำสวมแว่นดำยืนขวางทาง
       “พวกคุณเข้ามาได้ยังไง คลินิกปิดแล้วนะ”
       อัคราสูรจ้องหน้า
       “แกคือหมอศักดิ์ชัย ศัลยแพทย์มือหนึ่งที่ทำหน้าพวกดาราดังๆให้สวยหล่อจนเกาหลีเรียกพ่อใช่มั้ย
       “ชะ....ใช่ ถ้าพวกคุณจะมาให้ผมทำหน้าให้ ก็ไว้มาพรุ่งนี้ ตอนนี้ผมเลิกงานแล้ว”
       หมอจะเดินหนีแต่ถูกจิตราสูรเข้าไปผลักอก
       “แกยังไปไหนไม่ได้ แกต้องรักษาหน้าให้เจ้านายของพวกเรา”
       “ผมบอกแล้วไง ถ้าพวกคุณจะมาให้ผมช่วย ก็ต้องไปต่อคิว ลูกค้าผมต่อให้เป็นเซเลบดังแค่ไหน ก็ต้องต่อคิวทั้งนั้น”
       อสุเรศตวาด
       “แต่ถ้าแกรู้ว่าลูกค้ากิตติมศักดิ์ของแกเป็นใคร แกจะต้องยกเลิกนัดทั้งหมดเพื่อมารักษาให้ข้าคนเดียว”
       หมอศักดิ์ชัยหันไปตามเสียงเห็นชายหนุ่มสวมแว่นดำชุดสูทสีดำ แต่มีฮู้ดคลุมหน้าและยืนอยู่ในมุมมืด
       “ต่อให้เป็นลูกนายก ก็ต้องต่อคิว”
       “ข้าไม่ใช่ลูกนายก แต่ข้าเป็นลูกชายของเจ้าแห่งพิภพอสูร”
       อสุเรศก้าวออกมาจากมุมมืด แล้วถอดแว่นตาดำและเอาฮู้ดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นจากฤทธิ์เดชของรัศมิชโลธร ใบหน้านั้นดูน่ากลัวด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
       อัคราสูรกับจิตราสูรเองก็ถอดแว่นดำ แล้วเผยให้เห็นใบหน้าของอสูรอันน่ากลัว ฟันแหลมคม ตาแดงก่ำ หมอศักดิ์ชัยถึงกับเหวอตกใจ
       “หมอคงยังไม่เคยเห็นพิภพอสูร ข้าจะพาไปให้เป็นบุญตาหมอสักครั้ง...หึๆๆๆ”
      
       ที่โถงของอาคารสำนักงานตำรวจฯ สการจับแขนพาชิโลเข้ามา
       “ปล่อยฉันนะ...ฉันเดินเองได้ไม่ต้องมาจับ”
       “หยุดพยศซะที ถ้าเธอยังไม่เลิกกวนประสาทฉัน จะจับขังคุกสักคืน จะเอาให้เข็ดเลย”
       “นี่คุณ...ถามจริงๆเถอะ คุณป้าเก็บคุณมาเลี้ยงเหรอ นิสัยคุณถึงได้ต่างกับคุณป้าเหมือนสวรรค์กับนรก”
       สการไม่พอใจ
       “นี่ยังกล้าด่าฉันอีกเหรอ อยากโดนอีกข้อหาใช่มั้ย”
       “เอาเลย..อยากจะยัดข้อหาอะไรให้ฉันก็ตามสบาย ตอนนี้ฉันหนีไปไหนไม่รอดแล้วนี่”
       “ยัยตัวแสบ...ฉันไม่รู้ว่าเธอไปเป่าหูอะไรแม่ฉัน แต่ฉันขอบอกไว้เลยฉันไม่มีวันใจอ่อนกับเธอเหมือนแม่ฉันแน่”
       “แล้วคิดเหรอว่าฉันจะพูดอะไรให้คุณฟัง ต่อให้คุณถามอะไรมาฉันก็จะไม่ตอบ เพราะคนที่ฉันจะคุยด้วยมีแค่ผู้กองดรัณคนเดียวเท่านั้น”
       “นี่เธอ !!”
       สการจ้องหน้าชิโลอย่างหัวเสีย แล้วเข้าไปจับแขนชิโลมาบีบแน่นพาตัวเดินเข้าไป ชิโลเจ็บ ร้องเสียงดัง...
       “โอ้ย...เจ็บนะ ปล่อยฉัน ตำรวจใจโหด มนุษย์ใจร้าย ใจอสูร !!”
      
       ในห้องสอบสวน...หมอศักดิ์ชัยกลัวจนลนลาน มัดหมี่กับดรัณมองอย่างสงสัย
       “พวกนั้นพาหมอไปพิภพอสูรมาเหรอคะ”
       “ใช่...ที่นั่นมีแต่พวกอสูรเต็มไปหมด พวกมันน่ากลัวมาก”
       ดรัณไม่เชื่อ แต่ก็ถาม...
       “แล้วพวกนั้นมันต้องการอะไรจากหมอ”
       “มัน...มัน...มันอยากให้หมอรักษาหน้าของมันให้หายจากรอยแผลเป็น”
       มัดหมี่อึ้ง
       “ว่าไงนะคะหมอ”
       “มันบอกว่ามีนางฟ้าทำให้หน้าของมันเป็นแผล มันสั่งให้หมอทำหน้าของมันให้กลับมาหล่อเหมือนเดิม แต่หมอทำให้ไม่ได้ แผลเป็นบนหน้าของมันรักษายังไงก็ไม่ได้”
       มัดหมี่ถอนใจเฮือก
       “เฮ้อ...นึกว่าจะได้ข่าวที่จี๊ดถึงใจ ที่ไหนได้ทั้งนางฟ้า ทั้งอสูร ไร้สาระที่สุด ผู้กองคะ มัดหมี่ไม่มีอะไรจะถามแล้วค่ะ เสียเวลา มัดหมี่ไปรอผู้กองแซมที่ห้องทำงานนะคะ”
       มัดหมี่รีบเดินออกไป หมอศักดิ์ชัยหันมานั่งกลัวตัวสั่นงงๆ ลนลานจนน่าเวทนาเอาแต่พูดพร่ำกับตัวเอง
       “พวกอสูร...น่ากลัว พวกมันมากันแล้ว ต้องหนี อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องหนี...ฮือๆๆๆ”
      
       ดรัณได้แต่ยืนมองอาการหมอด้วยสีหน้าแปลกใจ
 ดรัณพาตัวหมอศักดิ์ชัยออกมาให้ ตรีชฎากับตำรวจที่รออยู่นอกห้อง
       
       “เรียบร้อยแล้วเหรอคะผู้กอง”
       “ครับ เดี๋ยวคุณตรีชฎาช่วยทำเรื่องส่งตัวคุณหมอไปที่โรงพยาบาลให้ด้วย คงต้องมีการตรวจสุขภาพจิตอย่างละเอียด”
       ตรีชฎาแอบกระซิบถาม
       “ตกลงแกเสียสติรึเปล่าคะ”
       “แกว่าแกถูกลักพาตัวไปพิภพอสูรมา คุณว่ายังไงล่ะ”
       ตรีชฎาชะงักไปแล้วแอบมองหมอศักดิ์ชัย ที่เอาแต่พร่ำพูดอย่างตื่นกลัว
       “พวกอสูรมันมาแล้ว เราต้องหนี อยู่ไม่ได้ พวกมันมากันแล้ว ต้องหนี...หนี !!”
       หมอศักดิ์ชัยกลัวจนขีดสุด และขาดสติผลักตำรวจที่มาคุมตัวจนกระเด็นแล้ววิ่งหนีไปทันที
       “อ้าวเฮ้ย...เป็นเรื่องแล้วไง”
       ดรัณรีบวิ่งตามหมอไปทันที
      
       สการพาชิโลเดินมาตามทาง สการบีบแขนแน่นชิโลบ่นเจ็บ
       “ฉันเจ็บนะ จับฉันเบาๆไม่ได้เหรอไง ตำรวจใจร้าย”
       สการไม่สนใจทั้งฉุดทั้งลากชิโล
       “เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์ หัวใจของเจ้าชอบแต่เรื่องโหดร้ายทารุณ เหมือนพวกอสูร”
       สการเหลืออด
       “เว้ยยย...ฉันเบื่อไอ้สำนวนลิเกของเธอเต็มทนแล้ว ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นพวกเสียสติ หวังจะให้ฉันปล่อยเธอไปหรอก ฉันรู้ทัน”
       “นี่เราเตือนเจ้านะ ถ้าวันๆเจ้าคิดแต่เรื่องโหดร้ายทารุณ ไม่คิดจะทำบุญทำกุศล เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นสวรรค์กับเขา”
       “ตกลงจะไม่หยุดเพ้อเจ้อใช่มั้ย”
       “ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ฉันพูดเรื่องจริง”
       ระหว่างที่สการกับชิโลกำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง หมอศักดิ์ชัยก็วิ่งพุ่งตรงเข้ามาโดยไม่ทันมอง หมอวิ่งชน โครมชิโลจนกระเด็น
       “ว๊ายยยย !!”
       ชิโลก้นจ้ำเบ้า หมอก็ล้มลงไปเหมือนกัน ดรัณวิ่งตามมาไกลๆรีบตะโกนบอกสการ
       “ไอ้แซม...จับตัวไว้อย่าให้หนีไปได้”
       หมอรีบลุกขึ้นจะหนีต่อ สการรีบเข้าไปจับตัวหมอมารวบเอาไว้
       “ปล่อย...ปล่อยผม...เราต้องหนี พวกอสูรมากันแล้ว พวกมันมาอยู่ที่นี่”
       ชิโลได้ยินหมอพูดถึงอสูรก็หันมาสนใจทันที หมอศักดิ์ชัยหันมาที่ชิโลแล้วชะงักไป
       “เจ้า...เจ้าว่าอะไรนะ พวกอสูรมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”
       “ใช่...พวกมัน...พวกมันมากันแล้ว มันมาตามล่านางฟ้า มันจะแก้แค้นนางฟ้า !!”
       ชิโลถึงกับอึ้งหน้าเสียเข่าอ่อนไปทันที ดรัณกับตำรวจรีบเข้ามาช่วยคุมตัวหมอศักดิ์ชัยเอาไว้
       “ปล่อยผม...พวกเราอยู่ไม่ได้แล้ว พวกอสูรมาอยู่ที่นี่กันแล้ว พวกมันมาแก้แค้นนางฟ้า เราต้องหนี...ปล่อยผม”
       ตำรวจรีบพาตัวหมอศักดิ์ชัยออกไป สการแปลกใจถามดรัณ
       “นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ยไอ้รัณ”
       “เรื่องมันยาวว่ะ เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”
       ดรัณหันไปที่ชิโลเห็นนั่งเข่าอ่อนหน้าซีด
       “นั่น...”
       “เออ...นี่แหละยัยตัวแสบที่อ้างว่าเป็นกิ๊กแกไง”
       สการเข้าไปที่ชิโลที่ลุกไม่ขึ้นเพราะเข่าอ่อน
       “เอ้า..ลุกขึ้นได้แล้ว เก่งไม่จริงนี่ เจอแค่นี้ถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอ”
       ชิโลหน้าเสียพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้สการจับแขนดึงขึ้นแล้วพาเดินไปห้องสอบสวนอย่างว่าง่ายเพราะเสียขวัญ
      
       อุ้มสมกับนารี ยืนมองสภาพห้องแล้วสลด เพราะสภาพห้องเละเทะไปหมด
       “เฮ้อ...ดูสิเละเทะไปหมดเลย สงสัยต้องบอกผู้จัดการตึกให้เข้มงวดเรื่องคนเข้าออก”
       อุ้มสมไม่ตอบอะไรเพราะจมูกได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง อุ้มสมเดินตามกลิ่นไปตรงจุดที่อัครสูรยืนสู้กับสการ
       อุ้มสมตกใจ
       “กลิ่นกายพวกอสูร !! พวกมันมาตามหาเราที่นี่จริงๆด้วย”
       อุ้มสมหน้าเสียตกใจกลัว นารีหันมาสงสัย
       “เมื่อกี้นี้ว่าอะไรเหรออุ้มสม”
       “เอ่อ...เปล่า...เปล่าครับคุณป้า”
       นารีเข้ามาจับแขนปลอบใจ
       “เจอขโมยบุกเข้ามาถึงห้องแบบนี้คงจะตกใจแย่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ลูกชายป้าเขาต้องช่วยได้แน่ เดี๋ยวเขาก็คงพาพี่สาวเรากลับมา”
       “เอ่อ...ครับคุณป้า”
       อุ้มสมตอบไปอย่างแกนๆ แต่สีหน้ายังคงกังวลเป็นอย่างมาก
      
       ณ คฤหาสน์หลังหนึ่ง เป็นตึกทรงโบราณดูน่าเกรงขามและน่ากลัว ภายในคฤหาสน์เสียงเพลงเต้นรำอึกทึกครึกโครม สาวๆสก๊อยนุ่งขาสั้นกลุ่มนึงสนุกสนานกับปาร์ตี้ เต้นยั่วยวนให้อสุเรศที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หลุยส์ตัวใหญ่ สวมแว่นดำอันโตเก๊กท่าเคร่งขรึม
       จิตราสูรยืนสวมสูทสีดำทำเท่ห์อยู่ข้างๆ แต่แอบขยับนิ้วเต้นตามจังหวะเพลง...ตืดๆไปด้วย
       อสุเรศหันมามองสมุนตัวเองที่กำลังตืดๆ จิตราสูรลืมตัวเต้นเยอะไปหน่อยจนนึกได้กลับมาทำเคร่งขรึมเหมือน เดิม
       “โลกมนุษย์มันมีแต่เรื่องสนุกจริงๆนายท่าน ที่พิภพอสูรน่าจะมีสาวสก๊อยมั่ง”
       สาวๆสก๊อยเข้ามาเต้นยั่วรอบๆอสุเรศเหมือนพวกมิวสิควีดิโอเพลงฮิพฮอพ อสุเรศหัวเราะชอบใจ
       “หึๆๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆๆ”
       สาวคนหนึ่งมานั่งตักแล้วลูบหน้าอสุเรศไล้ไปมา อสุเรศจับมือเธอเอาไว้หมับ
       “ข้าเตือนไว้ก่อน อย่าถอดแว่นไม่งั้น พวกเธอจะต้องตกใจ”
       สาวยิ้มยั่ว
       “ตกใจความหล่อเหรอคะ”
       อสุเรศยิ้มมุมปากนิดนึง สาวสวยไม่เชื่อคำเตือนจึงค่อยๆถอดแว่นตาอสุเรศออก เมื่อพบว่าใบหน้าของอสุเรศมีแผลเป็นน่ากลัวผาดผ่านดวงตาลงมาถึงแก้มเป็นทาง ยาว และดวงตาของอสุเรศก็แดงก่ำน่ากลัว บรรดาสาวๆพากันตกใจกลัวร้องเสียงหลงถอยไปรวมกลุ่มกัน
       “อี๊...นึกว่าจะหล่อ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว อัปลักษณ์ อักลี่ ตัวเหม็นสุดๆ ต่อให้รวยก็ไม่เอาหรอก ไปเถอะพวกเรา”
       อสุเรศฉุนลุกพรวด
       “เจ้าว่าไงนะนังมนุษย์ ปากหาเรื่องแบบนี้ คิดว่าจะได้ออกไปง่ายๆเหรอ”
       สิ้นคำพูดประตูห้องโถงปิดเข้ามาดัง...ปัง !! พวกสาวๆพากันตกใจ
       “ให้กระผมสั่งสอนพวกมันเองขอรับนายท่าน” จิตราสูรบอก
       “จัดไป...ให้มันได้เห็นร่างที่แท้จริงของแก..ไอ้จิตราสูร”
       “ขอรับนายท่าน”
       จิตราสูรยิ้มร้ายแล้วเดินไปที่กลุ่มสาวๆที่ยืนกอดกันกลัว จิตราสูรหัวเราะลงคอหึๆๆ ถอดแว่นตาดำออกเห็นดวงตาน่ากลัว
       เงาของจิตราสูรขยายใหญ่ขึ้นๆจนสูงใหญ่เกือบเท่าความสูงของห้อง เสียงหัวเราะของจิตราสูรดังกังวานน่ากลัว พวกสาวๆกรี๊ดกันดังลั่น...กรี๊ดดด
      
       สาวสก๊อยวิ่งหนีออกมาจากคฤหาสน์ร้องเสียงหลงกระเจิดกระเจิง อสุเรศกับจิตราสูรเดินตามออกมาหัวเราะชอบใจ
       “จะปล่อยนังพวกนั้นไปอย่างนี้เหรอขอรับนายท่าน” จิตราสูรถาม
       “ปล่อยมันไป สก๊อยอย่างนังพวกนั้นถึงไม่ตายด้วยน้ำมือข้า ชะตาของมันก็ไม่พ้นวันนี้พรุ่งนี้ จุดจบของพวกมันก็อยู่บนถนนนั่นแหละ”
       “น่าเสียดาย กระผมชอบพวกมันซะด้วย ไว้กระผมขอแวบไปหาพวกมันในนรกภูมิบ้างได้มั้ยขอรับนายท่าน”
       “อย่าให้เดือดร้อนมาถึงข้าแล้วกัน”
       อสุเรศจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ระหว่างนั้นอีกาสีดำตัวใหญ่บินเข้ากระพือปีกเสียงดัง อสุเรศกับจิตราสูรเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งอีกาตัวนั้นก็ค่อยๆกลายร่างเป็น อัคราสูรในชุดสูทสีดำน่าเกรงขาม
       “นายท่าน”
       “ว่ายังไง เจอรัศมิชโลธรมั้ย”
      
       อัคราสูรมองอสุเรศด้วยสีหน้าหนักใจ
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

อ่านละครแสบสลับขั้ว ตอนที่ 9 วันที่ 23 ก.ค. 55

  เซียนนัดเจอกับปลาใหญ่ที่ร้านกาแฟ ปลาใฟญ่กระดิกขาไขว่ห้างแล้วจิบกาแฟด้วยสีหน้าท่าทางกวนมากๆ
      
       “เสียใจที่จะต้องบอกว่าเสียใจ ไอ...ส่อรี่”
       “ไอ้เซียน เท่าที่แกทำกับฉันนี่ยังไม่พออีกเรอะ แกแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันและที่ร้ายที่สุดแกแย่งตัวตนของฉันไปอย่าง หน้าด้านๆ”
       ปลาใหญ่ยียวนกวนประสาทสุดๆ
       “รู้จักคำว่า หน้าด้านด้วยเรอะคุณหนู” ปลาใหญ่ลอยหน้าลอยตา “ของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย”
       “แต่ที่แกเอาไปนั่นมันร่างของฉัน ตัวตนของฉัน”
       “แสดงว่าแกไม่ค่อยได้ไปวัด พระท่านสอนว่าอย่ายึดมั่น...ถือมั่น...ไม่มีอะไรหรอกที่เป็นของเราแม้แต่ ร่างกาย...เมื่อถึงเวลาก็ต้องตายกันทุกคน ร่างกายก็จะเน่าเปื่อยเสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน”
       “แต่ฉันยังไม่ได้ตาย ร่างกายยังไม่ได้เสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างกายฉันยังดีครบถ้วนทุกประการแล้วแกก็ขโมยไป”
       ปลาใหญ่ทำหน้าเคร่งราวกับกล่าวปรัชญา
       “ร่างกายก็คล้ายเปลือกหอยเสฉวน เมื่อตัวมันไม่อยู่ตัวอื่นก็สามารถเข้าไปอาศัยอยู่แทนได้ฉันใดก็ฉันเพล”
       “ร่างกายฉันก็คือร่างกายฉัน ไม่ใช่หอยใช่ปูอะไรทั้งนั้น”
       ปลาใหญ่ทำไม้ทำมือแล้วพูดเสียงดังประมาณว่าพยายามห้ามปรามคนโรคจิต
       “จเย็น ...ใจเย็น...ไม่ใช่หอยก็ไม่ใช่หอย”
       เซียนชี้หน้าปลาใหญ่
       “แกนั่นแหละ ไอ้หอย”
       ปลาใหญ่หันไปทางเคาน์เตอร์แล้วยกมือไหว้โดยรอบ
       “ต้องขอประทานโทษแทนลูกจ้างของเพื่อนผมด้วยนะครับ พอดีเขาไม่ได้ทานยามาหลายวัน...ข้าวของทั้งหมดที่เสียหาย ผมจะรับผิดชอบเอง”
       ทุกคนต่างลุกขึ้นตบมือให้ปลาใหญ่ ปลาใหญ่โค้งรับอย่างสุภาพเซียนกระชากคอเสื้อปลาใหญ่มาต่อยล้มโครม
       “โอ๊ย”
       เซียนก้มลงกระชากปลาใหญ่ขึ้นมาแล้วหมุนตัวกระโดดถีบแบบคาราเต้ ปลาใหญ่กระเด็นไปชนอีกโต๊ะล้มครืน คนที่โต๊ะนั้นกระเจิง พนักงานรีบกดโทรศัพท์
       “ฮัลโหล ช่วยด้วยค่ะ มีคนบ้ามาอาละวาดอยู่ในร้าน”
       ขณะที่เซียนไล่ถลุงปลาใหญ่ทำเป็นพยายามห้ามปรามโดยไม่ตอบโต้
      
       เซียนถูกจับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในคุก ครรชิตเดินเข้ามาที่ร้อยเวร
       “สวัสดีครับ คุณครรชิต”
       “สวัสดีครับหมวด นายเซียนล่ะครับ”
       “นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นแน่ะครับ”
       ครรชิตหันไปมองแว่บหนึ่ง
       “อ้อ...”
       ครรชิตเดินไปที่เซียนซึ่งมองมาหน้างอ
      
       เซียนและครรชิตเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ทั้งสองนั่งนิ่งกันไปไม่พูดไม่จา
       “เกิดอะไรขึ้นครับ” ครรชิตถามขึ้นในที่สุด
       “ก็อย่างที่บอก ผมนัดไอ้เซียน ...”
       “ขึ้นไอ้ขึ้นอีอีกแล้ว คุณปลาใหญ่”
       “ไปอยู่ที่นั่นนานๆ ยิ่งกว่านี้ผมก็พูดได้” ครรชิตถอนใจยาว สีหน้าเคร่งเครียด “จะต้องเคร่งเครียดไปทำไม เพราะผมเองก็คงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นปลาใหญ่ตามเดิมอีกแล้ว”
       “คุณปลาใหญ่ ผมผิดเองที่ดูแลคุณปลาใหญ่ไม่ดี” ครรชิตบอกอย่างเจ็บปวด
       “ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก มันเป็นเวรกรรมของผมเอง”
       “ยังไงผมก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น”
       “ในเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ผมก็คงไม่ต้องแคร์อะไร”
       “คุณปลาใหญ่” ครรชิตมองหน้าปลาใหญ่อย่างตกใจ
       “ผมเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างนะคุณครรชิต ตอนที่ผมเป็นผู้บริหาร ผมก็จริงจังกับหน้าที่ของผม พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อความก้าวหน้าของบริษัทและพนักงานทุกคน แต่แล้ว...” เซียนอึ้งไปเหมือนมีความสะเทือนใจสุดๆ พุ่งขึ้นมา “มันก็เหมือนโลกนี้ถล่มทลายต่อหน้าต่อตา ผมกลายเป็นใครก็ไม่รู้ทุกอย่างที่มีสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา...”
       เซียนหยุดพูดน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างสุดจะอดกลั้น
       “สักวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม” ครรชิตตบไหล่ปลอบ เซียนส่ายหน้าแล้วขัดขึ้นทันที
       “ไม่มีวันหรอกคุณครรชิต ทุกอย่างจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”
       “คนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีความหวัง”
       “ความหวังของผมคือ ใครที่มันทำกับผมขนาดนี้จะต้องพินาศล่มจมหาความสุขไม่ได้เหมือนกัน มันจะได้เรียนรู้ว่าเงินทองที่อยากได้นักหนาไม่ได้ช่วยให้มันมีความสุขเลย”
       สีหน้าเซียนเคร่งเครียดเต็มที่ ขณะที่ครรชิตมองอย่างกังวล
      
       สายพิณกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสายพิณบิดขี้เกียจแล้วเอื้อมมือมาหยิบดู สายพิณ
       กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
       “พี่เซียน หายหัวไปเลยนะ...หรือว่าไปเป็นไฮโซอยู่บ้านใหญ่แล้วลืมรูหนู...”
       ปลาใหญ่นั่งในรถจอดอยู่ในซอยค่อนข้างเปลี่ยวขัดขึ้นทันที
       “พิณมาพบพี่หน่อยได้ไหม”
       “แล้วทำไมมาพบพิณเองไม่ได้ อ้อ ชุมชนแคบๆ นี่คงไม่คู่ควรจะให้พี่เซียนกลับมาเหยียบแล้วใช่มั้ยล่ะ” สายพิณถามอย่างไม่พอใจ
       “แกนี่ดูละครมากไปหรือเปล่า คู่ควรไม่คู่ควรบ้าบออะไรก็ไม่รู้...ออกมาพบพี่หน่อย อยู่ถัดมาจากชุมชนนี่แหละ”
      
       ปลาใหญ่ปิดโทรศัพท์ แหงนหงายพิงพนักหลับตา
 สายพิณเดินออกมาขณะที่ยายปิ่นกำลังคุยกับเพื่อนบ้านบริเวณนั้น
       
       “จะไปไหนฮึ ไอ้พิณ”
       สายพิณขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์
       “แถวนี้แหละยาย เดี๋ยวมา”
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
       “เฮ้ย เดี๋ยว ไอ้พิณ” สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ไปลับตา “ดู๊ ขอให้ดู”
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์มาจนถึงหน้าปากซอย เหลียวมองซ้ายขวาจะออกไป มอมเห็นสายพิณจึงรีบเดินไปหา
       “พิณ จะไปไหน...”
       “ไปธุระ”
       “ธุระอะไร”
       สายพิณหันมามองมอมฉุนๆ
       “ เป็นพ่อฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮึ! พี่มอม”
       “เปล่า พี่เป็นห่วง”
       “พิณอายุเข้าเลข 2 แล้วนะ ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงไปละ”
       สายพิณเลี้ยวรถออกไป มอมมองตามเซ็งๆ แล้วเดินกลับมาสมทบกับป๋องและลุงป่อง
       “เปลี่ยนใจเถอะ ไอ้มอม”
       “แล้วลุงล่ะ เปลี่ยนใจจากป้าไหมได้หรือเปล่า”
       “ข้ามันแก่แล้ว”
       “ไม่เกี่ยวหรอก มันอยู่ที่ว่าเป็นรักแท้หรือเปล่า”
       “ซึ้งว่ะ”
       “ข้าจะตามไปดู”
       “อันนี้ข้าขอค้าน” มอมมองป๋อง “เพราะมันจะทำให้พิณเกลียดขี้หน้าเอ็ง”
       มอมคอตก ลุงป่องกับป๋องตบไหล่คนละข้างปลอบใจ
      
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ช้าๆ ตรงมาที่รถปลาใหญ่ สายพิณจอดมอมอเตอร์ไซค์ขณะที่ปลาใหญ่กดล็อคประตูให้
       “ขึ้นมาซิ”
       สายพิณเปิดประตูเข้านั่งแล้วชะงักเมื่อเห็นหน้าปลาใหญ่ชัด
       “ไปเดินชนหน้าแข้งใครเขามาน่ะ”
       “ไอ้ปลาใหญ่”
       “เรื่อง ...”
       “มันจะหมั้นกับคุณน้ำเพชร”
       สายพิณชะงักมองหน้าปลาใหญ่ครู่หนึ่งแล้วกำหมัดสะใจ
       “เยส”
       “เฮ้ย นั่นดีใจเรอะ”
       “ทำไมล่ะ คู่นั้นเขาสมกันดีจะตาย”
       “สมกันบ้าบออะไรล่ะ ไอ้ปลาใหญ่มันจนจะตายขืนแต่งกันไปคุณน้ำต้องลำบาก”
       สายพิณชะงัก
       “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่” ปลาใหญ่นิ่งไป สายพิณเม้มปาก “อ้อ หึงละซิ”
       “แล้วเอ็งไม่เสียดายร่างไอ้เซียนหรือไง”
       “สำหรับฉัน จิตวิญญาณสำคัญกว่ารูปร่างภายนอก พี่เซียนน่ะเลิกทำเป็นหมาเห็นเครื่องบินได้แล้ว คนอย่างยัยน้ำเพชรเขาไม่สนพี่เซียนหรอก”
       ปลาใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่ง
       “พิณ... ช่วยอะไรพี่หน่อยได้มั้ย”
       “ต้องบอกมาก่อน”
       “ช่วยบอกคุณน้ำเพชรว่าพิณเป็นแฟนกับไอ้เซียน...” สายพิณนิ่วหน้า “แล้วพิณจะไม่ยอมให้ร่างกายของไอ้เซียนไปเป็นของผู้หญิงคนไหนเด็ดขาด” สายพิณตบปลาใหญ่เปรี้ยง “โอ๊ย”
       “ทุเรศ” สายพิณเปิดประตูรถลงไปแล้วปิดอย่างแรง ก้มลงพูดที่หน้าต่าง “เสียแรงที่พิณเคยรักพี่เซียน ตอนนี้พิณเกลียดพี่เซียนมากที่สุดในโลก!พี่เซียนมันน่ารังเกียจ น่าทุเรศ”
       สายพิณขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่กลับออกไป
      
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์อย่างเร็วเข้าไปในซอย ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
       “เฮ้ย ไอ้พิณมันเป็นอะไรของมัน”
       “ยังกับโกรธใครมา”
       มอมไม่พูดพล่ามทำเพลงขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปทันที
       สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน พอเก็บรถแล้วจึงเดินเข้าบ้าน มอมขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา
       “พิณ สายพิณ...พิณ”
       ยายปิ่นโผล่หน้าออกมา
       “พิณอยู่ในห้องจะพบกับปิ่นก่อนมั้ยล่ะ”
       มอมยิ้มแห้งๆ
       “ไม่หรอกจ้ะ เอ้อ...ยายช่วยตามพิณออกมาหน่อยได้มั้ย”
       “เชื่อเหอะ ตอนนี้พิณมันไม่อยากพบใครหรอก”
      
       ยายปิ่นเดินเข้าไปในบ้าน มอมทำหน้าเซ็งๆ แล้วมองตัวบ้านนิ่งคิด  
มอมค่อยๆ ลัดเลาะมาบริเวณหลังบ้านแล้วตะโกนเรียกเบาๆ
       
       “พิณ...เป็นอะไรหรือเปล่าพี่เป็นห่วง” สายพิณกำลังนอนคว่ำหน้าร้องไห้กับที่นอนเงยหน้าขึ้น “พิณ พี่มอมไม่สบายใจจริงๆ นะ”
       “กวนโอ๊ยนัก”
       สายพิณเดินไปที่ประตูเปิดออกไป ขณะนั้นมอมยังคงต้องตั้งอกตั้งใจเรียก
       “สายพิณ ...ถ้าไม่โผล่หน้าต่างออกมา พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เงียบ “พี่น่ะ ระ...เอ้อ หวังดีกับพิณจริงๆ...” น้ำโครมใหญ่ถูกสาดออกมาจากหน้าต่าง “โอ๊ย” สายพิณถือถังใบใหญ่ที่สาดน้ำลงมา สีหน้าถมึงทึงทั้งๆ ที่มีคราบน้ำตาเต็มหน้า มอมลูบน้ำออกจากหน้า “ ทำไมพิณทำกับพี่อย่างนี้”
       “ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับฉัน”
       สายพิณน้ำตาร่วงอีกด้วยความคับแค้น
       “พิณร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรพิณ”
       “บอกว่าอย่ามายุ่ง”
       สายพิณกระแทกหน้าต่างปิดแล้วเดินไปทิ้งตัวร้องไห้ต่อบนที่นอน มอมเงยหน้ามองด้วยความเป็นห่วง
      
       ปลาใหญ่ยังคงจอดรถอยู่ที่เดิม ปลาใหญ่นั่งพิงพนักหลับตานิ่งภาพสายพิณซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
       “เสียแรงที่พิณเคยรักพี่เซียน ตอนนี้พิณเกลียดมากที่สุดในโลกพี่เซียนมันน่ารังเกียจ น่าทุเรศ”
       ปลาใหญ่ลืมตาขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ
       “ขนาดพิณยังคิดว่าพี่น่ารังเกียจน่าทุเรศ แล้วคุณน้ำล่ะ เขาคงรังเกียจพี่มากกว่าพิณหลายเท่านัก”
       ปลาใหญ่นั่งหมดอาลัยตายอยากครู่หนึ่ง แล้วขับรถออกไปด้วยสีหน้าเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ
      
       ยายปิ่นเปิดประตูเข้ามาในห้องสายพิณแล้วหยุดยืนมอง สายพิณยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมยายปิ่นทอดถอนใจ แล้วเดินมานั่งใกล้ๆ พลางลูบผมหลานอย่างเวทนา
       “พิณเอ๊ย ...”
       สายพิณกอดเอวยายแน่น
       “ยายจ๋า ...”
       “รักคนที่เขารักเราดีกว่านะลูกนะ” สายพิณส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “ไอ้มอมมันเป็นคนดี”
       “พิณไม่รักคนดี พิณมันแย่! ทุเรศที่สุดที่ฉันดันไปรักคนชั่ว”
       ยายปิ่นได้แต่ลูบผมหลานอย่างเวทนา
      
       ปลาใหญ่เดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ามีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายมา สมศรีซึ่งกำลังนั่งรื้อแม็กกาซีนมาจัดเรียงใหม่มองอย่างแปลกใจ ปลาใหญ่เดินขึ้นไปห้องตัวเองสมศรีชะเง้อมองตาม
       สมทรงกำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับเคมีอยู่ทางหลังบ้านสมศรีเดินแกมวิ่งเข้ามา
       “พี่สมทรง”
       “หือ ...”
       “คุณปลาใหญ่กลับมาแล้ว” สมทรงลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “แถมผมเผ้าหน้าตายังกับไปชกต่อยกับใครมา”
       สมทรงควักโทรศัพท์ทันทีแล้วกด
       “คุณจันทร์ขา...คุณปลาใหญ่กลับมาบ้านแล้วค่ะ”
      
       เกริกก้องพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อจันททิพย์ร์โทรมารายงานเรื่องปลาใหญ่
       “ดีแล้ว ยิ่งพวกมันวุ่นวายว้าวุ่นกันเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์กับเราเท่านั้น”
       เกริกก้องวางโทรศัพท์ลงสีหน้าเหมือนจะพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง
       วันรุ่งขึ้นเมื่อครรชิตและเซียนเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วชะงักเมื่อ เห็นปกรณ์นั่งเอกเขนกอยู่ที่เก้าอี้ครรชิตอย่างสบายใจ เซียนขยับจะพูดเอาเรื่องแต่ครรชิตแตะแขนไว้
       “คุณกรณ์ นี่มันห้องของผมนะครับ”
       “แต่มันจะกลายเป็นของผมตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
       “ใครจะไล่คุณครรชิตออกไปไม่ได้”
       ปกรณ์เบือนสายตามามองเซียนอย่างเหยียดหยามดูหมิ่น
       “ไอ้สวะเซียน” ปกรณ์ลุกเดินมามองเซียนหัวจรดเท้า “แอบอ้างตัวเป็นปลาใหญ่ ถามจริงเคยตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาหรือเปล่า”
       “ไม่เคยหรอก ไอ้คางคก”
       ปกรณ์ชะงักดวงตาเป็นประกายวาวด้วยความโกรธ แล้วเหวี่ยงแขนใส่เซียน เซียนหลบแล้วคว้าแขนปกรณ์ดัดไว้ข้างหลัง
       “โอ๊ย เจ็บโว้ย ปล่อย” เซียนดัดให้เจ็บขึ้นไปอีก “โอ๊ย บอกว่าเจ็บ” เซียนดัดแรงขึ้นไปอีก แล้วผลักปกรณ์กระเด็นกระแทกผนังแล้วร่วงลงบนพื้น “ไปได้แล้ว”
       ปกรณ์ค่อยๆ ลุกขึ้น ชี้หน้าครรชิตกับปลาใหญ่อย่างเคียดแค้นชิงชัง
       “แกทั้งสองคนต้องถูกไล่ออก และสำหรับแก...นายครรชิต แกไม่ใช่แค่ต้องออกไปจากบริษัทนี้ แต่ต้องออกไปจากบ้านด้วย เพราะคนทุจริตเลี้ยงไว้ไม่ได้”
       “คุณจะใส่ร้ายอะไรผมก็ว่าไปเถอะ แต่อย่ามาใส่ร้ายว่าผมทุจริต”
       “ไม่ทุจริตแล้วจะถูกไล่ออกทำไม แล้วที่ฉันมานี่ก็เพราะน้องจันทร์ทิพย์ให้มาส่งข่าวว่าพวกแกทั้ง 2 คนจะทำงานที่นี่วันนี้เป็นวันสุดท้าย ไปละ”
       ปกรณ์เดินออกไป เซียนกำมือแน่น
       “ใจเย็นๆ ... คุณปลาใหญ่ คิดเสียว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา”
       เซียนสูดลมหายใจยาว
      
       น้ำเพชรนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานในขณะที่โทรศัพท์ดังขึ้น น้ำเพชรเงยหน้าขึ้นหยิบมารับ
       “ห้องท่านประธานค่ะ”
       “คุณจันทร์ทิพย์ให้มาพบเดี๋ยวนี้”
       เสียงวางหูโทรศัพท์ลง น้ำเพชรมีสีหน้าหงุดหงิด
       “ยัยคนนี้ท่าจะบ้า”
       น้ำเพชรลุกขึ้นแล้วเดินไป น้ำเพชรเดินมาที่ห้องทำงานจันทร์ทิพย์
       “เร็วๆ เข้าย่ะ คุณจันทร์กำลังรออยู่” เลขาบอก น้ำเพชรทำท่าจะตอบโต้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินไปเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป “ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย”
      
       “นั่งซิ”
       จันทร์ทิพย์บอกเมื่อน้ำเพชรเปิดประตูเข้ามา
       “ขอบคุณค่ะ”
       “ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
       “ก็... ดีค่ะ”
       “แล้วอยากจะทำต่อไปไหม”
       “ทำไมหรือคะ”
       “คุณครรชิตกับนายเซียนถูกไล่ออกไปแล้ว ฉันเลยอยากรู้ว่าเธอจะไปกับเขาด้วยหรือเปล่า”
       น้ำเพชรเบิกตากว้างตั้งแต่ประโยคแรก
       “คุณครรชิตถูกไล่ออก”
       “แล้วเธอจะไปกับเขาหรือเปล่าล่ะ”
       น้ำเพชรมีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
       “ไม่ค่ะ”
       “แน่ใจนะ”
       “แน่ใจค่ะ”
       “แล้วฉันจะคอยดู”
      
       น้ำเพชรเม้มปาก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขอขอบคุณจาก manager.co.th   

อ่านละครชิงนาง ตอนที่ 4 (ต่อ) วันที่ 23 ก.ค. 55

พฤกษ์อยู่ที่หน้าโถงใหญ่ของบ้านแสนสมุทร ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เสียงศรีเรือนดังลงจากชั้นบน
      
       “กลับบ้านได้แล้วเหรอ?”
       พฤกษ์มองตามเสียงขึ้นไป เห็นศรีเรือนยืนมองเขาอยู่ที่หน้าต่างห้อง พฤกษ์ยกมือไหว้
       “ถ้าไม่ใช่เพราะวันเกิดน้อง คงไม่คิดจะกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้แล้วล่ะสิ” ศรีเรือนค่อนขอด
       พฤกษ์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำประชดของย่า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฉีกไปทางหลังบ้าน ศรีเรือนมองตามพฤกษ์..ยังไม่หายเคือง
      
       วงเดือนนั่งหลับอยู่ที่หน้าเรือนพัก ทั้งที่มือยังถักนิตติ้งคาอยู่ เสื้อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว พฤกษ์เดินเข้ามาที่หน้าเรือน มองวงเดือนที่นั่งหลับอยู่
       พฤกษ์ขยับเข้าไปใกล้จะปลุก “เดือน...”
       วงเดือนครางออกมา “อือ...” แล้วขยับตัวเบือนหน้าไปอีกทาง ยังไม่ตื่น
       พฤกษ์มองจับอาการวงเดือน ยิ้มๆ
      
       พฤกษ์อุ้มวงเดือนเข้ามาในห้อง ค่อยๆวางวงเดือนลงบนเตียง พฤกษ์มองไปเห็นรูปของสามพี่น้องที่ถ่ายกับวงเดือนวางอยู่ที่โต๊ะข้างหัว เตียง จ้องที่ใบหน้าภูผากับวงเดือน
       พฤกษ์รู้สึกผิด “ภูผา...พี่ขอโทษ”
       พฤกษ์หันมองหน้าวงเดือนอีกครั้ง ใบหน้าวงเดือนขณะหลับตาพริ้มดูสวยนิ่ง น่าประทับใจ
       พฤกษ์มองอย่างหลงใหล พลางใช้มือเกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากใบหน้าวงเดือน พฤกษ์ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างอดใจไว้ไม่ไหว
       พฤกษ์ขยับหน้าเข้าไปใกล้แก้มวงเดือนทุกที
       จังหวะนั้นวงเดือนละเมอออกมาเบาๆ “คุณผา”
       พฤกษ์ชะงักได้สติ ผละออกมา มองวงเดือนด้วยสายตาเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป วงเดือนนอนหลับไม่รู้เรื่อง
      
       ที่ไร่ชาเช้าวันต่อมา
       สว่างเดินนำภูผา หนูนาและดอยลงมาที่ไร่ เห็นต้นชาที่เริ่มแตกยอดเขียวสวย ท่ามกลางหมอกจางๆ
       “ชาแตกยอดแล้ว” ดอยดี๊ด๊ากระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ “วู้!”
       ภูผาทอดสายตามองไปด้วยความภูมิใจ
       “หลังจากนี้เราจะตัดแต่งพุ่ม เพื่อรักษาระดับความสูง แล้วก็ช่วยเพิ่มผลผลิตด้วยครับ” สว่างว่า
       “อีกไม่นานก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิต...” หนูนาบอก
       ดอยพูดต่อประโยคของหนูนา “..เอาไปขาย!” เด็กหญิงจอมแก่นทำท่าตะโกนขาย “เร่เข้ามาๆ ชาห๊อมหอม รสชาติดี๊ดี ชาจากไร่...” หยุดกึก คิดแล้วหันหาลุง “ไร่อะไรอ่ะลุงหว่างขา”
       สว่างพูดกับภูผา “ตรงนี้สำคัญนะครับนาย เพราะจะเป็นชื่อชาของเราด้วย เราต้องมีชื่อให้คนรู้ว่าเป็นชาที่มาจากไร่...”
       ภูผาเอ่ยสั้นๆ ห้วน “วงเดือน”
       สว่างกับหนูนาชะงัก
       “ไร่วงเดือน!” ภูผาย้ำ
       “ครับ..ผมจะรีบให้คนงานติดป้ายชื่อไร่ให้เร็วที่สุด”
       ดอยร้องขายต่อ “เร่เข้ามาๆ ชาไร่วงเดือน ห๊อมหอม รสชาติดี๊ดี”
       นาทีนั้นหนูนาแอบมองภูผาด้วยสีหน้าสะเทือนใจ
      
       ไม่นานต่อมาศรีเรือนตกใจมากเมื่อรู้ข่าวจากแดนไกล
       “ภูผาตั้งชื่อว่าไร่วงเดือน!”
      
       สว่างอยู่ที่ตลาดในเมือง กำลังคุยโทรศัพท์รายงานอยู่ที่ร้านในตลาด
       “ใช่ครับ แล้วตอนนี้นายภูผามุ่งมั่นตั้งใจกับไร่ชามากครับ ยังเคยบอกผมว่าสักวัน..จะกลับไปพาหัวใจของนายมาที่นี่ครับ”
       ศรีเรือนเครียดนัก “ฝากนายสว่างดูแลหลานฉันด้วยนะ”
       หนูนาถือถุงของเข้ามาด้านหลังสว่าง
       “ครับคุณท่าน สวัสดีครับ” สว่างวางสายแล้วหันมาเจอหนูนายืนอยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย”
       หนูนาสงสัย “ใครคือคุณท่านอ่ะลุง”
       “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” สว่างเดินหนี
       หนูนาเดินตาม ซักไซ้ “ลุงโทรหาใคร?”
       สว่างถอนหายใจเฮือก แล้วหยุดตอบ “คุณย่านายภูผา พอใจรึยัง”
       สว่างเดินออกไป หนูนาจะตาม เจ้าของร้านที่ให้บริการโทรศัพท์รีบออกมา
       “หนูนา! น้าหว่างลืมสมุดนี่ เอาไปด้วย”
       หนูนารับมาเห็นเป็นสมุดเล่มเล็กๆ หนูนาเปิดดูเห็นเบอร์โทรศัพท์
       “บ้านแสนสมุทร...” หนูนาพึมพำ หันไปพูดกับแม่ค้า “พี่จ๊ะ ฉันขอยืมปากกาหน่อยสิ”
       แม่ค้าส่งปากกาให้ หนูนาฉีกกระดาษเปล่าด้านหลังสมุดแล้วจดเบอร์โทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าตัวเอง
      
       ศรีเรือนลงนั่งมองโทรศัพท์นิ่ง สีหน้ากังวลอยู่
       “ภูผาจะกลับมา”
       ชอุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาในห้อง
       “คุณท่านคะ คุณผู้ชายให้มาเรียนว่าพร้อมแล้วค่ะ”
       ศรีเรือนสั่ง “ไปเชิญคุณอรุณไป…”
       ชอุ่มรับคำแล้วเดินออกไป ศรีเรือนสีหน้ายังหนักใจแต่พยายามปัดเรื่องอื่นทิ้งออกไปจากใจ
      
       ที่แผนกเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ ในห้างขายสินค้าประจำเมือง
       วงเดือนดูเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวหุ่นโชว์ เธอเดินเข้าไปเลือกเสื้อที่แขวนอยู่ด้วยความสนใจ
       โฉมไฉไลเดินถือถุงช็อปปิ้งผ่านมาที่แผนกเสื้อผ้าผู้ชายพอดี และเห็นวงเดือนหยิบเสื้อผู้ชายตัวหนึ่งออกมาดู ยิ้มอย่างพอใจ
       วงเดือนพูดเบาๆกับตัวเอง “หวังว่าคุณอรุณคงชอบ” หยิบมาให้พนักงานขาย “เอาตัวนี้ค่ะ”
       ทันใดนั้นมีมือใครคนหนึ่งเข้ามากระชากเสื้อไปจากมือวงเดือน
       วงเดือนตกใจหันไปมอง เห็นเป็นโฉมไฉไลซึ่งกำลังขว้างเสื้อลงบนพื้น
       โฉมไฉไลตวาดแว้ด “แกไม่เข็ดใช่ไหม”
       พนักงานตกใจมาก ลูกค้าคนอื่นๆ ในห้างหันมามองเหตุการณ์
       โฉมไฉไลพ่นออกมาอย่างหึงหวง “ฉันรู้นะว่าแกจะซื้อเสื้อไปให้เมฆา ประจบออกนอกหน้าแบบนี้…คงอยากเป็นเมียเขาจนตัวสั่นแล้วล่ะสิ!”
       วงเดือนโกรธ และคราวนี้เธอสู้!
       “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เดือนไม่ได้ซื้อให้คุณเมฆา”
       วงเดือนก้มหยิบเสื้อที่พื้น แต่ถูกโฉมไฉไลใช้รองเท้าส้นสูงกระทืบเหยียบไว้
       “ไม่ต้องมาโกหก! นังหน้าด้าน!” สาวไฮโซถังแตกใช้ส้นสูงบดขยี้เสื้อ
       วงเดือนตะโกนห้าม “อย่า”
       วงเดือนพยายามแย่งยื้อ แต่โดนโฉมไฉไลผลักล้มไป และโผนตัวจะตามเข้ามาตบ
       วงเดือนลุกพรวดโกรธจัด “อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ”
       โฉมไฉไลเลือดขึ้นหน้า ไม่หวั่นเกรง กระชากวงเดือนเข้ามาพูดใส่หน้า เสียงเบาแต่ชัดเจน!
       “เอาเล๊ย! แต่ไปหาหลักฐานมาให้ได้ก่อนนะ ขนาดแกโดนฉุดคราวที่แล้ว เมฆายังทำอะไรฉันไม่ได้เลย แล้วน้ำหน้าอย่างแกน่ะเหรอ?” มองอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะผลักตัววงเดือนแล้วสะบัดตัวออกไป “ชิ”
       วงเดือนพูดตามหลังไป ไม่กลัวเกรง “ถึงฉันไม่มีหลักฐาน แต่ฉันมีคุณเมฆาเป็นพยานชี้ตัวนักเลงพวกนั้น เมืองเล็กๆ แบบนี้..ตำรวจคงสาวไปถึงตัวคนบงการได้ไม่ยาก!”
       โฉมไฉไลหันมาชี้หน้าวงเดือนด้วยความแค้น “แก”
       วงเดือนสู้ “หรือคุณอยากพิสูจน์ดูก็ได้”
       โฉมไฉไลโดนต้อนจนแต้ม โกรนธจนตัวสั่น “สักวัน ฉันจะขยี้แกให้เหมือนเสื้อตัวนี้ คอยดู”
       จากนั้นโฉมไฉไลก็สะบัดหน้าออกไป
       วงเดือนหยิบเสื้อขึ้นมาดู เห็นว่ามีรอยขาด…พนักงานหน้าตาตกอกตกใจเข้ามา
       “เอ่อ ถ้าเสียหาย ยังไงก็ต้องซื้อนะคะ”
      
       วงเดือนหน้าเจื่อน
 อรุณเดินลงมาที่ห้องโถงเห็นอนุต ศรีเรือน เมฆา และพฤกษ์ยืนรออยู่ โดยมีศรีดาราถือเค้กวันเกิดที่จุดเทียนแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายคนเล็ก
      
       ศรีเรือนเอ่ยขึ้นก่อนใคร “สุขสันต์วันเกิดจ้ะหลานย่า”
       ศรีดารายิ้มบอก “อธิษฐานสิจ๊ะลูก”
       อรุณเหมือนไม่ได้ใส่ใจฟัง มองหาแต่วงเดือน
       “เดือนล่ะครับ เดือนไปไหน?”
       พฤกษ์สบตากับเมฆา โดยอัติโนมัติ
       ศรีเรือนหน้าตึงขึ้นมาทันที ศรีดาราหน้าเสีย อนุตพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
       “อรุณ...อธิษฐานสิ จะได้เป่าเทียน”
       อรุณไม่ฟังใคร “เดือนไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่ด้วย”
       เมฆาเอ่ยขึ้น “เดือนไม่อยู่ ออกไปแต่เช้าแล้ว”
       อรุณหัวเสีย วิ่งขึ้นไปข้างบนทันที ศรีดาราอึ้งมือไม้อ่อนปวกเปียก ใจหายวาบ พึมพำเบาๆ
       “นี่อรุณก็อีกคนเหรอเนี่ย”
       อนุตหันมองศรีดาราอย่างนึกเอะใจ และตัดสินใจเดินตามอรุณขึ้นไป
       ศรีเรือนเสียใจและแค้นวงเดือนขึ้นมาอีก “วงเดือน..นังตัวกาลกิณี”
       ศรีดาราวางเค้กแล้วรีบตามขึ้นไปหาอรุณ
       พฤกษ์และเมฆาถอนใจ และแยกย้ายกันออกไป
       ศรีเรือนหน้ามืดจะเป็นลม
       ชอุ่มเห็นร้อง “ว๊าย” รีบเข้าประคอง “คุณท่านคะ นั่งก่อนค่ะคุณท่าน!”
       ศรีเรือนกดดันหนักกับทุกเหตุการณ์ที่ชักจะยุ่งยากขึ้นทุกที
      
       อรุณนั่งลงบนเตียงอย่างขัดใจ อนุตตามเข้ามาติดๆ
       “เป็นอะไรอรุณ? ทำไมก้าวร้าวต่อหน้าคุณย่าแบบนั้น”
       “แล้วทำไมเดือนถึงไม่อยู่บ้าน ไม่มาหาผม ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดผม ทำไม”
       ศรีดาราตามเข้ามา ถามด้วยสีหน้าหวั่นใจ “อรุณ เดือนสำคัญกับลูกมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
       “ใช่ เดือนสำคัญกับผม สำคัญมาก”
       อนุตใจหาย “อรุณ”
       อรุณเริ่มมีอาการหายใจหอบถี่แรงขึ้น
       ศรีดาราจับสังเกตเห็นรู้สึกตกใจ “ใจเย็น ๆ ลูก”
       “แม่ให้คนไปตามเดือนมาหาผมนะ”
       “จ๊ะๆ ลูกอยากได้อะไรแม่จะให้ลูกทุกอย่าง”
       “สัญญานะครับแม่”
       ศรีดาราพยักหน้า อรุณค่อยๆ หายใจช้าลงเป็นจังหวะปกติ
       “ลูกนอนพักก่อนนะ”
       อนุตยังยืนมองอรุณนิ่ง ศรีดาราเดินไปจับมืออนุตดึงให้ออกไปด้วยกัน อนุตขืนตัว
       ศรีดารามองด้วยสายตาอ้อนวอน “ฉันขอร้องนะคะ”
       อนุตจำต้องเดินตามศรีดาราออกไป
       อรุณหายใจผ่อนคลายขึ้น ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเริ่มใช้อาการป่วยเป็นอาวุธ และเครื่องมืออย่างจริงจัง แล้ว
      
       อนุตยืนหน้าเครียดอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องหนึ่ง
       “คุณรู้ใช่ไหมคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
       พฤกษ์ที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปทางห้องอรุณ ชะงัก หยุดฟัง
       อนุตถอนหายใจ “ผมรู้ว่าอรุณชอบวงเดือน รู้มานานแล้ว แต่ที่ผมไม่พูดเพราะเห็นว่าวงเดือนไม่ได้คิดกับอรุณแบบนั้น แล้วสักวัน..ถ้าวงเดือนได้พบคนรักของเขา อรุณก็คงตัดใจได้เอง”
       ศรีดาราหลุดปาก “แล้วถ้าคนรักของวงเดือนเป็นคนใกล้ตัวล่ะคะ คุณคิดว่าอรุณจะทำใจได้อย่างงั้นเหรอ”
       อนุตมองอย่างสงสัย “หมายความว่ายังไง” เห็นศรีดาราหลบตา “คุณมีอะไรปิดบังผมอยู่อีกหรือเปล่า”
       ศรีดาราเลี่ยง “เราอย่ามาคุยเรื่องไม่สบายใจในวันเกิดของลูกเลยนะคะ”
       ศรีดารารีบเดินหนีอนุตไปทันที พฤกษ์รีบหลบไปอีกทาง
       อนุตสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
       พฤกษ์สับสนหนัก คิดในใจว่าแม่จะรู้ว่าเขารักวงเดือน
      
       เย็นนั้นวงเดือนอยู่ที่คลินิก นั่งเย็บซ่อมเสื้อเชิ้ตจนเสร็จเรียบร้อย
       “ยังดีนะที่ซ่อมได้”
       วงเดือนเก็บพับเสื้อใส่ถุง เมฆาเดินตรงเข้ามาหาเดือน
       “เมื่อเช้าไปไหนมา”
       วงเดือนไม่อยากบอกว่าไปซื้อเสื้อให้อรุณ เกรงเมฆาจะซักจนรู้ว่ามีเรื่องกับโฉมไฉไลอีก
       “คือ..เดือนไปธุระมาน่ะค่ะ”
       “เธอรู้ใช่ไหมว่าวันนี้เป็นวันเกิดอรุณ”
       “ค่ะ เดือนไม่เคยลืม”
       เมฆาตวัดตามอง รู้สึกจี๊ด ที่เดือนให้ความสำคัญกับอรุณมาก บอกห้วนๆ
       “อรุณรอของขวัญสำคัญจากเธออยู่!”
       พอพูดจบเมฆาก็จ้องหน้าวงเดือนเขม็ง จนวงเดือนทำหน้าไม่ถูก
      
       อาหารเย็นถูกจัดขึ้นโต๊ะ อรุณเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ทุกคนนั่งรออยู่ที่ของตนแล้ว ชอุ่มยกข้าวมาวาง ศรีดาราเดินมาหาอรุณ
       “วันนี้มีแต่กับข้าวที่ลูกชอบทั้งนั้นเลยนะ
       อรุณมองหาและจ้องหน้าแม่เหมือนถามว่าลืมอะไรหรือเปล่า?
       “เดือนล่ะครับแม่?”
       ศรีเรือนหันขวับมองอรุณ ศรีดารามองย่าศรีเรือนอย่างลำบากใจ รีบเปลี่ยนเรื่อง
       “ทานข้าวก่อนนะลูกนะ”
       อรุณจะขืน
       อนุตเสียงแข็ง “อรุณ นั่งเดี๋ยวนี้”
       อรุณยังนิ่งเฉย ศรีดารามองอนุตเกรงจะอารมณ์เสียไปกว่านี้
       วงเดือนเดินเข้ามาพอดี อรุณดีใจรีบเข้าไปหา
       “เดือน”
       วงเดือน ยื่นห่อของขวัญให้ “สุขสันต์วันเกิดค่ะ คุณอรุณ”
       อรุณยิ้มดีใจรับมาแล้วรีบแกะห่อออกดู ทุกคนมองอย่างสนใจ พออรุณแกะออกมากางเห็นเป็นเสื้อเชิ้ตธรรมดา สีหน้าอรุณเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นผิดหวัง
       วงเดือนหน้าเสีย “คุณอรุณไม่ชอบเหรอคะ”
       “ทำไมเป็นเสื้อตัวนี้! แล้วเสื้อที่เดือนถักล่ะ อยู่ไหน”
      
       วงเดือนตกใจ “คุณอรุณ ทำไม...”

อรุณเข้าไปจับไหล่วงเดือนเขย่าๆ ถามคาดคั้น
       
       “เสื้อตัวนั้นอยู่ไหน เธอเก็บไว้ให้ใคร ให้ใคร!”
       พฤกษ์กับเมฆาทนไม่ไหวเข้าไปจะแยกอรุณจากวงเดือน
       “อรุณ อย่า” พฤกษ์ห้าม
       เมฆาบอก “ปล่อยเดือน”
       อรุณสะบัดสุดแรง ผลักเมฆากับพฤกษ์เต็มแรงและหันไปถามวงเดือนต่อ
       “เธอถักให้ใคร? พี่พฤกษ์หรือพี่เมฆา”
       อนุตชะงักกึก! พฤกษ์กับเมฆามองวงเดือนอย่างลุ้นๆ ต่างรอฟังคำตอบเหมือนกัน
       วงเดือนอึกอัก “เดือน...เดือน...”
       อรุณเห็นวงเดือนไม่ตอบสักที จึงหันไปมองพฤกษ์กับเมฆาด้วยสายตากร้าว ดุดัน
       “เดือนเป็นของผม พวกพี่ไม่มีสิทธิ์”
       “อรุณ..เดือนไม่ได้เป็นของแก” เมฆาสวนออก
       ศรีดาราตกใจและไม่พอใจ “เมฆา..ทำไมพูดแบบนี้? เดี๋ยวน้องก็ป่วยขึ้นมาอีกหรอก”
       พฤกษ์พูดขึ้นท่าทีแน่วนิ่ง “แต่ผมว่าเมฆาพูดถูกนะครับแม่”
       ศรีดาราตกใจ “พฤกษ์”
       อนุตอึ้งไป เข้าใจทุกอย่างปรุโปร่งชัดเจนแล้ว! ก่อนจะหันไปถามคาดคั้นเอากับศรีดารา
       “เรื่องนี้ใช่ไหม ที่คุณปิดบังผมอยู่”
       ศรีดาราก้มหน้าเป็นเชิงยอมรับ
       อรุณขัดใจกำมือแน่นไม่ยอม หันมาหาศรีดารา “แม่สัญญาว่าถ้าผมอยากได้อะไร แม่จะให้ทุกอย่าง” อรุณพูดเสียงดังฟังชัด “ผมต้องการแต่งงานกับเดือน”
      
       ทุกคนตะลึง ช็อกคาที่
      
       บรรยากาศในห้องโถงใหญ่บ้านแสนสมุทรยามนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด ในขณะที่ทุกคนต่างก็ช็อก อยู่ ศรีเรือนลุกพรวดประกาศกร้าว
      
       “ไม่ได้”
       อรุณสวนทันควัน “แต่แม่สัญญากับผมแล้วนะครับคุณย่า” แล้วหันไปหาวงเดือน “นะเดือน..แต่งงานกับฉันนะ”
       พฤกษ์กับเมฆาเพ่งมองวงเดือน อรุณเข้าไปจับมือวงเดือนคาดคั้น
       วงเดือนไม่รู้จะทำยังไง ตอบไม่ถูก วิ่งเตลิดออกไปจากตรงนั้น ศรีเรือนเดินตามวงเดือนออกไปอย่างเอาเรื่อง
       ศรีดารากับอนุตนิ่งงัน มองลูกชายทั้งสามคนที่เผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด
      
       วงเดือนเดินหน้าเครียดเข้ามาที่ห้องพัก น้ำตาคลอด้วยความสับสน ศรีเรือนเดินตามเข้ามาติดๆ
       “สะใจหล่อนแล้วใช่ไหม?” วงเดือนชะงักหันมา
       หญิงชราจ้องหน้าวงเดือนพูดต่อ “แสนสมุทรจะพินาศเพราะหล่อน! หล่อนหว่านเสน่ห์ใส่หลานฉันทำไม?”
       วงเดือนน้ำตาไหลยกมือไหว้ศรีเรือน
       “เดือนขอโทษค่ะคุณท่าน แต่เดือนสาบานได้ว่าเดือนก็ไม่เคยต้องการให้คุณทั้งสามมารักเดือน”
       ศรีเรือนสวนออกมาทันทีทันใด “ฉันก็ไม่ต้องการ! ชีวิตของภูผาต้องฉิบหายซมซานออกไปจากแสนสมุทรก็เพราะเขารักหล่อน! ฉันเสียภูผาไปแล้ว ฉันไม่ต้องการเสียใครไปอีก”
       วงเดือนได้ยินชื่อภูผาก็คลานเข่าขยับเข้าไปใกล้ศรีเรือน สายตาวิงวอน
       “เดือนจะไปจากที่นี่ เรื่องทุกอย่างจะได้จบ แต่เดือนขอความเมตตาให้คุณท่านกรุณาบอกเดือนได้ไหมคะว่าปลายทางของเดือนควร จะไปที่ไหน”
       ศรีเรือนหันขวับ สะบัดเสียง “หล่อนจะไปหาภูผา?”
       วงเดือนกราบแทบเท้าศรีเรือน “กรุณาเดือนด้วยนะคะ”
       ศรีเรือนสับสน ชักเท้าแล้วเดินหนีไป
       “คุณท่านคะ...คุณท่าน”
       วงเดือนร้องไห้อย่างหมดหนทาง
       ศรีเรือนเดินจากมาอย่างสับสน
      
       เมื่อมืดมนอับจนหนทาง ศรีเรือนจึงหันหน้าเข้าวัด เช้าวันต่อมาหญิงชรากำลังก้มกราบพระสีหน้าหม่นหมอง
       “อิฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง อิฉันพยายามจะขัดขวางทุกทางแต่มันดูจะไม่เป็นผล”
       “น้ำเชี่ยวอย่าเอาขวางเรือ...ที่โบราณได้เปรียบเปรยนั้นหมายความถึง แค่แม่น้ำสายเดียว แต่ตอนนี้โยมมีแม่น้ำถึงสี่สายที่กำลังถาโถมเข้ามา หากโยมไปกั้นไปขวาง ความแรงของสายน้ำจะทำลาย
       ทุกอย่างจนไม่เหลือชิ้นดี!”
       ศรีเรือนได้ฟังก็ยิ่งเครียด
       “แต่ถ้าโยมเปิดทางให้แม่น้ำได้มีโอกาสไหลออกไปบ้างสักสาย ความรุนแรงก็จะบรรเทาลง เมื่อไม่มีสิ่งใดปะทะกัน ทุกอย่างก็จะสงบ จากนั้นเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
      
       ศรีเรือนคิดตาม เริ่มคิดได้ว่าตนแก้ปัญหาแบบผิดๆ มาโดยตลอดหรือนี่?
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ