อ่านละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 7 วันที่ 5 ก.ค. 55

{[['']]}

คุณย่าแดงกับดรุณีนั่งห้อยเท้าอยู่ที่แคร่หน้าบ้านพักอาทิจเคียงกัน
        
       “ถ้าเขาไม่เมาเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้”
       “เหล้ามันไม่เคยให้คุณใครอยู่แล้ว”
       “เขาคงเสียใจเรื่องที่หนูก่อไว้มากก็เลยไประบายเอากับเหล้า หนูขอโทษนะคะคุณย่า ที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเป็นแบบนี้”
       ย่าหันมามองดรุณี เห็นสีหน้าและแววตาของหลานสาวที่บ่งว่าเสียใจจริงๆ ก็ไม่อยากจะซ้ำเติม
       “พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเรานี่ ย่าเห็นเขาโทษแต่ตัวเองที่หลงผิดไป”
       “ก็เพราะเขาไม่โทษใครนี่ล่ะค่ะที่ทำให้หนูรู้สึกผิด หนูไม่ใช่เด็กไม่รู้จักคิดนะคะคุณย่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หนูคงไม่ก่อเรื่องแบบนี้”
       “ใจเย็นๆก่อนเถอะ เรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้”
       ย่าแดงมองตาดรุณี เห็นยังไม่คลายความรู้สึกผิดในใจ จึงโอบหญิงสาวเข้ามาซบที่ไหล่เพื่อให้คลายความกังวล ทั้งๆที่ย่าแดงเองก็เก็บความกังวลที่แววตาไม่มิดเช่นกัน
      
       อาทิจเดินสะโหลสะเหลเข้ามาที่แปลงผัก ลุงเกร็งยืนรดน้ำผักอยู่หันมาเห็นอาทิจ
       “อ้าว...คุณอาทิจ ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วหรือครับ”
       อาทิจไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ไล่มองผักที่ปลูกบนแปลง ด้วยหัวใจที่อ่อนระโหยโรยแรง
       “ผักขาดน้ำไปหลายวัน ลุงก็มัวแต่ยุ่งอยู่ในสวนส้ม เลยไม่ได้แวะมาดูให้เลย คิดว่าเจ้าฑูรหรือใครจะมารดน้ำให้บ้าง แต่ก็...”
       อาทิจเห็นผักที่แห้งเหี่ยวเพราะขาดน้ำ แล้วต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ
       “ทุกคนต่างมีหน้าที่กันทั้งนั้น ผมเองต่างหากที่ละเลยหน้าที่จนทุกอย่างเป็นแบบนี้”
       ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นผักที่เพาะมากับมือต้องมาเหี่ยวเฉา ผลงานชิ้นแรกของเขาพังไม่เป็นท่า ไม่ต่างจากผลงานชิ้นที่สองที่พังยับเยิน ลุงเกร็งมองชายหนุ่มอย่างเห็นใจ
       “รดน้ำแล้วอาจจะพอฟื้นตัวได้บ้างนะครับ”
       อาทิจย่อตัวลงแล้วเอามือลูบผักที่แห้งเหี่ยวเฉา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกายและใจของเขาในเวลานี้
      
       จิ๋วแจ๋ววิ่งเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ ซึ่งเวทางค์และวิยะดานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เวทางค์เร่งไปกินไป
       “เร็วๆหน่อยได้มั้ยจิ๋วแจ๋ว คนกำลังหิว”
       จิ๋วแจ๋ววางอาหารจากถาดลงบนโต๊ะมือเป็นระวิง
       “จิ๋วแจ๋วนึกว่าคุณเวกับคุณวิจะรอคุณย่ากับคุณณีก่อนนี่คะ”
       วิยะดาโวย
       “ฉันก็รอจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว เขาไปไหนกันเนี่ย แกรู้มั้ย”
       “จิ๋วแจ๋วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ก็แม่ให้จิ๋วแจ๋วอยู่รับใช้คุณที่นี่”
       ย่าแดงเดินกลับเข้ามา เวทางค์ซึ่งกำลังตักข้าวคำโตเข้าปาก รีบวางช้อนแล้ววิ่งไปหาย่าทันที
       “คุณย่าครับ กินข้าวกันครับคุณย่า”
       วิยะดาวางช้อนแทบไม่ทัน ตามมาบ้าง
       “เนี่ยวิรอคุณย่าตั้งนานแน่ะค่ะ แต่โรคกระเพาะมันกำเริบ วิก็เลยต้องกินก่อน แต่เพิ่งกินไปแค่ สองคำเองค่ะ พี่เวสิคะซัดไปตั้งครึ่งจานแล้ว”
       เวทางค์หันไปดุน้อง
       “เว่อร์แล้วยายวิ พี่เพิ่งกินไปแค่ สองคำเหมือนเรานั่นแหละ คุณย่าเชิญครับ...เชิญ”
       เวทางค์จะประคองย่าไปนั่ง ย่าแดงโบกมือห้าม
       “ย่าไม่หิว เราสองคนกินกันเถอะ ย่าขอตัวไปพักก่อน แล้วก็ไม่ต้องรอแม่ณีนะ เขาเข้าไปกินกับคนงานแล้ว”
       ย่าแดงเดินออกไป ทันทีที่ย่าเดินพ้นสายตา สองพี่น้องก็วิ่งจู๊ดกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วทานข้าวต่ออย่างเมามัน ดุจน้องผู้หิวโหย จิ๋วแจ๋วมองสองพี่น้องแล้วแอบส่ายหน้าเล็กๆ
      
       แก้วตักกับข้าวใส่ปิ่นโตให้ดรุณี ในขณะที่คนงานอื่นๆนั่งจับกลุ่มกินข้าวกันเป็นกลุ่มๆ ลุงเกร็งเดินตรงเข้าไปหาไพฑูรย์ซึ่งนั่งกินข้าวอยู่กับต๊อด อึ่ง พัน
       “ไอ้ฑูร...ทำไมไม่ไปรดน้ำผักให้คุณอาทิจบ้างวะ ผักจะแห้งตายหมดแล้วรู้มั้ย”
       ดรุณีและแก้วหันไปมอง
       “เฮ้ย...จริงด้วย”ต๊อดตกใจ
       อึ่งหน้าเสีย
       “ทำไงดีวะ”
       พันหันไปต่อว่าไพฑูรย์
       “พี่ฑูรก็น่าจะเตือนกันมั่ง”
       “เดี๋ยวยันโครม...ลำพังแค่ลงกล้วยคนเดียวข้าก็ไข้จับแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปรด
       น้ำผักได้อีก”
       ลุงเกร็งส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
       “ไม่ได้ให้ไปรดเองเว้ย มีปากก็สั่งคนงานไปสิวะ ไอ้สามตัวนี่ก็พลอยหายหัวไปด้วย”
       ต็อดหน้าสลด
       “ก็ฉันมัวขี้หดตดหาย กลัวนายจะโกรธเรื่องกล้วยจนลืมผักไปเลย”
       อึ่งหน้าเครียด
       “จากที่หายโกรธ คงกลับมาโกรธอีกก็คราวเนี่ย”
       พันนึกได้
       “งั้นพวกเรารีบไปรดกันเดี๋ยวนี้เลย”
       ลุงเกร็งส่ายหน้า
       “สายไปแล้วเว้ย คุณอาทิจเธอรดของเธอเองแล้ว ข้าบอกจะตามพวกเอ็งมาช่วย เธอก็ห้ามไว้ บอกทำคนเดียวได้ ชวนมากินข้าวก็ไม่มา บอกจะรดให้เสร็จก่อน เฮ้อ...หายไข้รึยังก็ไม่รู้ ดีไม่ดีไข้กลับซ้ำขึ้นมา คราวนี้ล่ะ หนักกว่าเดิมแน่”
       แก้วหันไปบอกดรุณี
       “ รีบเอาไปส่งคุณอาทิจเถอะค่ะคุณณี”
       แก้วส่งปิ่นโตที่ใส่เถาเรียบร้อยแล้วให้ดรุณี หญิงสาวรับไปโดยไม่อิดออด
      
       ย่าแดงนั่งนิ่งที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา หญิงชราไม่พูดอะไรสักคำ แต่แววตาของท่านกำลังปรับทุกข์อยู่กับพระที่ตั้งเป็นประธาน อย่างจะอ้อนวอนให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองอาทิจให้แคล้วคลาดจากเรื่องเลวร้าย พร้อมกับ ขออย่าให้เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นเรื่องจริง
      
       อาทิจนั่งถอนผักที่เหี่ยวเฉาออกจากแปลง ดรุณีถือปิ่นโตก้าวเข้ามายืนสะท้อนใจที่เห็นชายหนุ่มนั่งทำงานกลางแดดด้วยใจ ที่เหนื่อยล้าอย่างเดียวดาย
       “พักมากินข้าวก่อนเถอะ”
       อาทิจเงยหน้าขึ้นมามองดรุณี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
       “ขอบคุณครับ คุณวางไว้เถอะ ตรงไหนก็ได้ ผมทำงานเสร็จแล้วจะกินเอง”
       ดรุณีไม่ยอม
       “ก็หยุดพักมากินก่อนสิ เดี๋ยวก็ป่วยซ้ำขึ้นมาอีกรอบหรอก”
       อาทิจยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน ดรุณีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
       “นายคงไม่อยากให้คุณย่าต้องเทียวไปเทียวมาดูแลนายนานๆหรอก จริงมั้ย”
       “ครับ ต่อไปนี้ผมจะดูแลตัวเองให้ดี”
       “เริ่มจากการกินข้าวให้ตรงเวลา”
       อาทิจพูดไปทำงานไป
       “ผมยังไม่หิว”
       ดรุณีไม่ยอม
       “ไม่หิวก็ต้องกิน เพราะนายต้องกินยา หรือนายอยากให้คุณย่าลำบากไปตามหมอมาดูนายอีก”
       “ผมทำความเดือดร้อนให้ท่านมามากแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านต้องร้อนใจเพราะผมอีก ขอบคุณนะที่เตือน”
       อาทิจล้างมือแล้วมารับปิ่นโตจากดรุณี ก่อนจะเดินไปนั่งที่ใต้ร่มไม้โดยไม่พูดไม่จาอะไรอีก
       “ฉันจะกลับไปเตรียมยาให้นายที่บ้าน ถ้านายไม่ต้องการให้คุณย่าเป็นห่วงนายมากไปกว่านี้...ก็กรุณากลับไปกินด้วย”
       ดรุณีเดินออกไป อาทิจชะงัก กลืนข้าวที่อยู่ในปากอย่างยากเย็น ยามนี้เขาดูจะเป็นภาระของทุกคนไปซะทุกเรื่อง
      
       ดรุณีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาทิจ หญิงสาวกวาดตามองไปทั่วห้องเธอยืนอยู่ท่ามกลางที่นอนหมอนมุ้ง ที่ยังไม่ได้เก็บเข้าที่ เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้าห้อยระเกะระกะอยู่ตามมุม และที่พื้น
       “รกอย่างกับรังหนู เจ้าต๊อดก็ไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อน หรือว่ารีบไปทำงาน”
       ดรุณีถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวผ้าขาวม้าลงตะกร้าผ้า แล้วหันมาเก็บที่นอน หมอน มุ้งและผ้าห่มให้เข้าที่
       “ขี้ฝุ่นก็เยอะซะ เฮ้อ”
       ดรุณีเอาผ้าคลุมที่นอนให้อาทิจ แล้วเอาไม้ขนไก่ปัดขี้ฝุ่นตามซอกมุมต่างๆ...ดรุณีเอาผ้ามาเช็ดถูโต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ก่อนจะลงมาเช็ดที่พื้นห้อง...ดรุณีนั่งพิงฝาผนังเอามือปาดเหงื่อเหนื่อย... ดรุณีจัดวางข้าวของในห้องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
       “เสร็จสักที สะอาดเอี่ยมน่าอยู่ คอนโดหรูชิดซ้าย”
       ดรุณีเดินมาที่โต๊ะแล้วกรีดนิ้วหยิบยาต่างๆออกจากซองใส่ในถ้วยเล็กๆ แล้วหางตาก็เหลือบไปมองผ่านกรอบหน้าต่าง เห็นอาทิจเดินสะโหลสะเหลกลับมา ดรุณีหันซ้ายมองขวา แล้วคว้ากระดาษซึ่งอาทิจใช้สำหรับเขียนจดหมายถึงที่บ้านมาเขียนอะไรยุกยิก ก่อนจะวิ่งหลบไปทางหลังบ้าน
       อาทิจเปิดประตูเข้าห้องมา ชายหนุ่มเดินมาที่โต๊ะเห็นกระดาษที่ดรุณีใช้แก้วน้ำทับไว้ อาทิจหยิบขึ้นมาดู
       “กินยา แล้วดื่มน้ำให้หมดแก้ว”
       อาทิจวางกระดาษลงแล้วหยิบยาขึ้นมากินก่อนจะดื่มน้ำตามไปครึ่งแก้ว ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วขยับออกมา แต่แล้วก็ชะงักหันกลับไปดื่มน้ำจนหมดแก้วตามคำสั่งคุณย่าน้อย จากนั้นจึงเดินเซมาล้มตัวลงนอนและหลับไปในทันที ดรุณีย่องเข้ามาชะโงกหน้ามองแล้วบ่นอย่างขัดใจ
       “จะลืมตาดูสักนิดขอบคุณสักหน่อยก็ไม่ได้ สะอาดเรี่ยมยังกับอยู่บนสวรรค์ขนาดนี้”
       ดรุณีจะเดินออกไปแต่แล้วก็กลับมาดึงผ้าห่มที่ตนเองพับไว้เรียบร้อย ที่ปลายเท้าขึ้นมาห่มให้ชายหนุ่ม มือดรุณีดึงผ้าขึ้นมาโดนแขนของเขาโดยบังเอิญ
       “เฮ้ย...ทำไมตัวร้อนจี๋อย่างนี้ล่ะ...บอกแล้วว่าอย่าออกไปตากแดด เห็นมั้ยไข้ขึ้นอีกจนได้”
       ดรุณีบ่นเสร็จก็จ้ำออกไป อาทิจนอนปากซีดและแห้งผากอยู่บนที่นอน
      
       คนงานทยอยเอาจานชามที่กินแล้ว เขี่ยเศษอาหารลงถังขยะแล้ววางในกะละมัง แก้วกำลังเก็บหม้อถาดที่ใส่อาหารวางซ้อนกัน ต๊อดหันไปบอกไพฑูรย์
       “ฉันขอแวะไปดูนายสักแวบนะพี่ฑูร ไม่รู้ป่านนี้เป็นลมคาบ้านไปรึยัง”
       “ข้าไปด้วย” อึ่งขออนุญาตไพฑูรย์ “ไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะรีบกลับมาจ้ะ”
       พันจะไปด้วยหันไปบอกไพฑูรย์
       “ข้าด้วย...เดี๋ยวกลับมาทำงานทดเวลาที่หายไปให้ด้วยเอ้า”
       ไพฑูรย์มองสามคน
       “พวกเอ็งจะไปทำอะไร”
       ต๊อดรีบบอก
       “เช็ดตัว”
       พันบอกต่อ
       “หุงข้าว”
       อึ่งคิดนิดนึงก่อนจะพูดออกมา
       “ซักเสื้อ ถูบ้าน ทำกับข้าว โอ๊ย...สารพัดงานจะมีให้ทำ”
       “เออ...รีบไปดูแลกันให้ดี ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ดูแล”
       แก้วฉุนขาด
       “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง แกแช่งคุณอาทิจงั้นเหรอ”
       ไพฑูรย์เบ้หน้า
       “เปล๊า...ฉันแค่คิดว่าหน้าที่พวกเนี่ยะมันหน้าที่เมีย เดี๋ยวต่อไป...เมียตัวจริงคุณอาทิจย้ายมาอยู่นี่เมื่อไหร่ ไอ้พวกนี้คงตกกระป๋อง ได้เป็นแค่เมียน้อยก็แค่นั้น”
       ต๊อดงงๆ
       “ใคร...เมียนาย ต๊อดนอนกับนายทุกคืน ไม่เห็นนายปริปากบอกเลยว่ามีเมียแล้ว”
       “เขาจะบอกเอ็งได้ยังไงในเมื่อเขาเพิ่งมี”
       ลุงเกร็งหันไปปรามไพฑูรย์
       “พูดอะไรระวังปากบ้างนะเว้ย หัวใกล้หงอกกันอยู่แล้ว”
       ไพฑูรย์มองหน้าลุงเกรง
       “อย่าบอกนะว่าน้าเกร็งก็ไม่รู้เรื่องกับเขาเหมือนกัน เออ...ปิดข่าวกันดีจริงๆ”
       แก้วหวั่นใจ
       “แกรู้อะไรห๊า...”
       พันมองหน้าไพฑูรย์
       “ถ้ารู้ว่าเมียนายเป็นใคร ก็พูดมาเลยดีกว่า”
       อึ่งขำๆ
       “หวังว่าคงไม่เอาฮา เฉลยว่าเป็นคนคุ้นเคยอย่างพี่ตุ๊นะ”
       คนงานฮาตรึม ไพฑูรย์ไม่พอใจ
       “ไม่ต้องมาแขวะเมียข้า อย่างกะเมียคุณอาทิจไม่ใช่คนคุ้นเคยของพวกเอ็งงั้น
       แหละ มันก็เคยมือเคยไม้มาก่อนทั้งนั้นล่ะเว้ย”
       ลุงเกร็งไม่พอใจ
       “เอ็งพูดให้ดีนะ...เอ็งหมายถึงใคร”
       “ก็นังทองประศรี ขวัญใจคาราโอเกะไง นั่นแหละเมียคุณอาทิจ”
       ทุกคนตะลึง ในขณะที่แก้วหันรีหันขวาง เรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไปแล้ว
      
       ดรุณีใช้ผ้าขนหนูซึ่งชุบน้ำบิดมาหมาดๆ เช็ดหน้าให้อาทิจที่ไข้ขึ้นเพ้อยกมือไขว่คว้าอากาศ ปากก็พึมพำเรียกหาแม่
       “คุณแม่ครับ...คุณแม่...คุณแม่”
       ดรุณีไม่รู้จะทำยังไง จึงจับมือชายหนุ่มไว้แล้วปลอบเบาๆ
       “ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร”
       อาทิจคว้ามือดรุณีไว้ ชายหนุ่มดึงมือหญิงสาวมาซุกไว้ข้างแก้ม ก่อนจะเบียดตัวขึ้นมานอนหนุนตัก
       เหมือนกับที่เคยทำกับแม่เมื่อตอนที่ตัวเองไม่สบาย ดรุณีนั่งนิ่งเป็นรูปปั้น สิ่งที่บ่งว่าหญิงสาวยังมีชีวิตคือลมหายใจเข้าออกและหัวใจที่เต้นตึกตักจน แทบจะทะลุออกมานอกอก หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะตื่นจากภวังค์เมื่ออาทิจละเมอขึ้นอีก
       “ผมจะดูแลน้องๆครับคุณพ่อ...ผัก...ไม่ได้รดหลายวันแล้ว ผมจะไปรดน้ำผักนะครับคุณย่า”
       ดรุณีได้ยินแล้วสะท้านเข้าไปถึงทรวง หญิงสาวก้มลงมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนที่สุด
       “ชีวิตนายคงมีแต่พ่อ แม่ น้องๆ คุณย่า แล้วก็งาน”
       ดรุณีมองอาทิจนิ่งอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยๆขยับตัวเขาออกไปจากตักเพื่อให้หนุนหมอนแทน แล้วหญิงสาวต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคพึมพำต่อมาของชายหนุ่ม
       “ผมไม่ต้องการแย่งอะไรไปจากคุณ คุณเกลียดผมมากเลยเหรอคุณณี”
       ดรุณีมองอาทิจที่นอนหน้าแดงจัดและปากแห้งผากด้วยพิษไข้ ด้วยหัวใจที่แห้งผากไม่ต่างกัน
      
       ต๊อด อึ่ง พันเดินคุยกันหน้าตาซีเรียสมาตามทาง ต๊อดไม่เชื่อในสิ่งที่ไพฑูรย์พูด
       “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ นายกับยายทองโตนั่นเหมือนอยู่กันคนละโลก นายไม่เอาผู้หญิงคันๆพรรค์นั้นทำเมียหรอก”
       อึ่งแปลกใจ
       “ก็นั่นสิวะ บอกว่านายเป็นกะเทย ข้ายังจะอึ้งน้อยกว่านี้”
       พันเห็นด้วยกับอึ่ง
       “เออว่ะ ยายนั่นน่ะ โดนคนงานทั้งสวนแอบจับตูดมาหมดแล้วมั้ง”
       อึ่งนึดอะไรได้ก็หน้าตื่น
       “เฮ้ย...หรือว่ามันจะปล้ำนาย”
       ต๊อดเห็นด้วย
       “เฮ้ย...จริงด้วย”
       พันเห็นบางอย่างก็ตกใจ
       “เฮ้ย...ใครมาก่อเตาต้มน้ำวะ”
       ต๊อดกับ อึ่ง มองตามพันไปที่หน้าบ้าน เห็นคนก่อเตาต้มน้ำทิ้งไว้จริงๆ ลุงเกร็งที่จู่ๆก็โผล่เข้ามายืนรวมกลุ่มกับสามเกลอ โพล่งขึ้น
       “เฮ้ย...หรือว่าจะเป็นนังทองประศรี”
       ต๊อด อึ่ง พัน หันมามองลุงเกร็งอย่างตกใจร้องออกมาพร้อมกัน
       “เฮ้ย!”
       ลุงเกร็งรีบเอามือจุ๊ปากกดเสียงต่ำสุดชีวิต
       “เฮ้ย...เบาๆสิวะ”
       ต๊อดบีบเสียงเบาบ้าง
       “โธ่...น้าเกร็ง มาได้ไงเนี่ย ตกใจหมด”
       “ข้าก็แวบมาดูคุณอาทิจบ้างสิ แต่ถ้านังทองประศรีมันแอบมาทำหน้าที่เมีย ดูแล
       คุณอาทิจอยู่ล่ะ”
       อึ่งหนักใจ
       “ดูแลน่ะไม่เท่าไหร่ กลัวว่ามันจะใช้กำลังปลุกปล้ำจับนายทำผัวให้ได้มากกว่า”
       ลุงเกร็งนึกได้
       “งั้นจะมายืนพูดกันอยู่ทำไมล่ะ รีบไปช่วยคุณอาทิจสิวะ”
       ทุกคนไม่พูดพล่ามทำเพลง ต่างคนต่างย่องเข้าไปที่ตัวบ้านหน้าตาจับผิดเอาจริงเอาจัง
      
       ลุงเกร็งโผล่หัวเข้ามาตรงช่องหน้าต่างเป็นคนแรก ตามด้วย ต๊อด ต่อด้วยอึ่ง และปิดท้ายที่พัน ทุกคนเห็น อาทิจนอนตะแคงข้างหันหลังให้ ข้างๆของเขามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มงุดๆเหมือนจะจูบชายหนุ่ม ทั้งสี่คนมีอาการเดียวกันคือ โกรธ ขึงขัง ตั้งท่าจะปีนหน้าต่างขึ้นมาเอาเรื่องเต็มที่ แต่แล้วทั้งหมดก็มีอาการเดียวกัน คือ เอ๋อ มึน งง สุดท้ายก็หดหัวกันแทบไม่ทัน เมื่อเห็น ดรุณีโผล่หน้าขึ้นมา แล้วพลิกตัวอาทิจให้นอนหงายก่อนจะติดกระดุมเสื้อเม็ดบนๆ ให้ชายหนุ่ม
       “เสร็จสักที”
       ดรุณีขยับผ้าขึ้นมาห่มให้ แล้วหันไปยกกะละมังกับผ้าเช็ดตัวขยับลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปที่ประตู ทั้งสี่หันมาสบตากัน ก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกไป
      
       สี่คนวิ่งออกมาจากหน้าต่างหน้าตั้ง พอได้ระยะแล้วก็หันหลังกลับไปทางบ้านอาทิจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ดรุณีถือกะละมังผ้าเช็ดตัวออกมาพอดี หญิงสาวตกใจที่เห็นทั้งสี่คน เพราะไม่ทันตั้งตัว ซึ่งก็ไม่ต่างจากทั้งสี่คนที่พยายามทำเป็นเหมือนเพิ่งเห็นดรุณี ลุงเกร็งพยายามไม่ให้หอบ
       “อ้าว...คุณหนูณี มาทำอะไรที่นี่ครับ”
       ดรุณีตั้งรับแทบไม่ทัน
       “เอ่อ...หนู...หนูมาจัดยาให้นายอาทิจน่ะค่ะ”
       ทั้งสี่เหล่มาสบตากันแค่แวบเดียว ต๊อดแอบแซวหน้าตาย
       “แล้วกะละมังนั่นล่ะครับ เอามาทำอะไร”
       “ก็...ฉัน...เห็นผ้ามันยังไม่ได้ซักก็ว่าจะเอาไปซักให้น่ะ” ดรุณีรีบกลบเกลื่อน “พวกนายแวะ
       มาเยี่ยมนายอาทิจใช่มั้ย เข้าไปสิ นอนอยู่ในบ้านนั่นแหละ”
       ดรุณีถือกะละมังเดินออกไป พันแซวต่อ
       “คุณณีจะยกกะละมังไปซักถึงบ้านเลยหรือครับ”
       ดรุณีชะงัก
       “เอ่อ...”
       “เอามานี่เถอะครับคุณหนูณี เดี๋ยวให้ไอ้พวกนี้มันจัดการครับ”
       ลุงเกร็งรับกะละมังผ้ามาจากดรุณี หญิงสาวถอนใจโล่งอกก่อนจะรีบสาวเท้าออกไป อึ่งเรียกไว้
       “คุณณีครับ”
       ดรุณีหันกลับมา
       “อะไรอีกล่ะ ฉันมาจัดยาอย่างเดียวจริงๆ”
       อึ่งยิ้มๆ
       “คือ...ผมจะบอกว่า เย็นนี้ไม่ต้องเอาปิ่นโตมาส่งนะครับ เดี๋ยวผมกับเพื่อนๆจะทำกับข้าวให้นายเอง”
       ดรุณีส่งยิ้มเจื่อนๆให้ทุกคน ก่อนจะรีบจ้ำออกไป ต๊อดผิดคาด
       “กะจะฉะยายทองโตสักหน่อย กลายเป็นคุณณีซะนี่”
 ขอขอบคุณจากmanager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ