อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 14 วันที่ 15 ก.ค. 55

{[['']]}
1 เดือนต่อมา...
        
       อาทิจรดน้ำกะหล่ำปลีอยู่กับ ต๊อด อึ่ง พัน อาทิจถามขึ้น
       “ใครมีกล้องถ่ายรูปบ้างวะ”
       “มี นายจะเอาไปทำไม” ต๊อดย้อนถาม
       “เอาไปใส่ข้าวกินมั้ง กล้องถ่ายรูปก็ต้องเอาไปถ่ายรูปสิวะ”
       “รู้แล้วคร้าบ จะเอาไปถ่ายใคร” พันสงสัย
       อาทิจอ้ำอึ้ง
       “ถ่ายตัวเอง”
       อึ่งคาดคั้น
       “ให้ใคร”
       อาทิจอ้ำอึ้งอีก ตอบเบาๆ
       “น้องณี”
       สามหนุ่มร้องขึ้นพร้อมกัน
       “ฮั่นแน่!”
       “น้องณีจะเอาไปให้เพื่อนอีกที”
       “เพื่อน..ผู้หญิงหรือผู้ชาย” พันซัก
       ต๊อดเสริม
       “หรือผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง หรือผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชาย”
       อาทิจโวย
       “ไม่รู้ ไม่ได้ถาม น้องณีเขียนจดหมายขอรูปมา ทวงหลายหนแล้ว เกรงใจ”
       สามหนุ่มร้องออกมาพร้อมกัน
       “ฮั่นแน่ !”
       “เกรงใจคุณณีหรือเพื่อนคุณณี” อึ่งแซว
       “เกรงใจขาตัวเอง สงสัยจะได้ออกแรงเตะปากใครสักป๊าบสองป๊าบแล้ว”
       อาทิจขยับขา ต๊อดส่งเสียงดัง
       “โห โหดเหี้ยม”
       “รุนแรง”พันเสริม
       ”แต่ก็ น่าร๊าก น่าถ่ายรูปให้อะ”
       อาทิจหันมาเหล่ลูกน้อง แล้วยิ้มส่ายหน้า
      
       ท่ามกลางนาข้าวที่เขียวออกรวงสะพรั่ง ต๊อดตั้งท่าถ่ายรูป อึ่ง พัน ตามมายืนกระหนาบข้างต๊อดซ้าย ขวา แล้วทำท่าขัดใจ
       “หือ ใส่อารมณ์หน่อยสินาย”
       อาทิจยืนนิ่งและแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่อีกฟาก
       “เอาแบบชายตาโปรยเสน่ห์นิดๆ กวนโอ๊ยหน่อยๆ อย่างนี้น่ะ”
       ต๊อดแสดงท่าเชิดหน้าหลิ่วตาไปมาให้อาทิจดู พันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
       “หือ เหมือนคนตาส่อนตากุ้งยิงเลยไอ้ต๊อด มองผาดๆคล้ายพวกเด็กแว้นอีกต่างหาก มันต้องวางมาดแมน จิกตาลึกแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็ระทวย”
       พันยืนเอามือเท้าเอววางหน้าเข้มตาจิก อึ่งส่ายหน้าบ้าง
       “หือ ยังกับไอ้พวกโรคจิตที่ไปฆ่าหั่นศพใครมางั้นล่ะ แอ็คแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนจะเอ็นดูวะ มันต้องออกเกาหลีญี่ปุ่นอย่างข้านี่เว้ย”
       อึ่งชูสองนิ้วบนหัวแล้วแลบลิ้นเล็กๆ ตั้งใจจะแอ๊บแบ๊วเป็นกระต่ายน้อยโน่เน๊ะ ต๊อดโวย
       “หือ ไอ้อึ่ง ทำหูกระต่ายน่ะพอให้อภัย แต่พอมาอยู่บนหัวกับหน้าเอ็ง ประกอบกับลิ้นที่แลบออกมา มันใช่เลย นี่มันคนปัญญาอ่อน สมองโบ๋ชัดๆ”
       ระหว่างที่ทั้งสามคนวิจารณ์กันและกัน อาทิจเดินหนีไปยืนอยู่ข้างกระท่อมรำคาญ
       “ข้ามีอะไรดีบ้างเนี่ย” อึ่งบ่นหันไปที่กระท่อม “เฮ้ยยย..นั่นใครวะ”
       “เออว่ะ ใครวะ”
       “ไอ้บ้า!เอ็งจำนายไม่ได้เหรอวะ”
       ต๊อดมองอย่างสนใจ
       “หือ เวลาเผลอแล้วได้หมดเลยนะนายเนี่ย ทั้งมีเสน่ห์ดูกรุ้มกริ่ม”
       พันเห็นด้วย
       “แล้วก็แม๊นแมน”
       อึ่งเสริม
       “แอ๊บแบ๊วโนเนะอีกต่างหาก เอ้า รีบถ่ายเข้าสิวะ เดี๋ยวรู้ตัวขึ้นมาก็ได้ยืนแข็งเป็นหินอีกรอบหรอก เร็ว”
       ต๊อดรีบแอบถ่ายรูปอาทิจตอนเผลอเป็นการใหญ่ ได้ภาพมุมเผลอที่หล่อได้เป็นธรรมชาติสุดๆ หลายๆมุม นอกจากนี้ติ๊ดก็ยังแอบถ่ายรูปตอนที่อาทิจอยู่ที่แปลงสตรอเบอรี่ ในสวนส้มอีกด้วย
      
       อาทิตย์ต่อมา ดรุณีหยิบรูปอาทิจที่ซ้อนกันนับสิบรูป ขึ้นมาดูทีละใบ แล้วอมยิ้ม
       “หล่อเหมือนกันน้า พี่ชายเรา”
       สักครู่ ดรุณีหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวโทรหาตุลยานี
       “ฮัลโหล แสนซนคนสวยหรือจ๊ะ รูปพี่อาทิจมาแล้วน้า พรุ่งนี้จะเอาไปให้ดู เตรียมเสียงไว้กรี๊ดได้เลยจ้า ไม่เชื่อก็คอยดู พรุ่งนี้เจอกันนะ”
       ดรุณีวางโทรศัพท์ แล้วหยิบรูปที่หล่อที่สุดของอาทิจขึ้นมาดูอีกครั้ง
       “ณีเคยทำผิดกับพี่อาทิจมาแล้ว ครั้งนี้ณีจะจัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง พี่อาทิจจะได้มีความสุขสักที”
       ดรุณียิ้มอย่างมีความสุข เมื่อคิดว่าหาคู่ที่เหมาะสมให้อาทิจได้
      
       เช้าวันใหม่ ดรุณีหอบรายงานพะรุงพะรังออกมามากมายที่หน้าคอนโด เวทางค์เดินมาด้านหลัง ร้องถาม
       “หอบอะไรซะเยอะเชียว”
       “รายงานค่ะ ณีจะเอาไปส่งอาจารย์ วันนี้มีพรีเซ็นต์หน้าห้องด้วย”
       “มา พี่ช่วย”
       ดรุณีส่งข้าวของให้เวทางค์ แต่เวทางค์รับพลาด หนังสือและซองเอกสารที่ใส่รูปอาทิจหล่นลงพื้น เมื่อก้มลงเก็บรายงานและหนังสือ ชายหนุ่มเห็นรูปอาทิจโผล่ออกมาจากซองเอกสาร
       “รูปนายอาทิจ”
       “ค่ะ ณีขอให้พี่อาทิจถ่ายรูปมาให้ยายตุ่นดู ณีจะเชียร์ยายตุ่นให้พี่อาทิจค่ะ”
       ดรุณีจะก้มลงเก็บรูป เวทางค์ดึงแขนดรุณีไว้
       “พี่เก็บเอง”
       เวทางค์เก็บรูปอาทิจ แล้วลุกขึ้น
       “ไป รถจอดอยู่นั่นจ้ะ”
       เวทางค์เดินนำดรุณีมาที่รถ วางข้าวของของหญิงสาวไว้ด้านหลัง โดยแอบแยกซองรูปอาทิจ
       ออกมาเหน็บไว้เบาะหลังอีกที
      
       เมื่อดรุณีมาถึง โต๊ะนั่งประจำในมหาวิทยาลัย ตุลยานีที่รออยู่แบมือขอดูรูป
       “ไหนจ๊ะ”
       ดรุณีแกล้งยั่ว
       “อยากเห็นล่ะสิ”
       “จ้า อยากเห็นเหลือเกินว่าคนที่ณีกรี๊ดนักกรี๊ดหนา หน้าตาเป็นยังไง”
       “รับรอง จะเปลี่ยนใจ”
       “ไม่มีใครทำให้ตุ่นเปลี่ยนใจไปจากชายในฝันของตุ่นหรอกน่า”
       ดรุณีรื้อข้าวของไป ทำเสียงตื่นเต้นเร้าใจไป
       “แต่น แตน แต๊น”
       ดรุณีรื้อดูข้าวของที่หอบมาวางบนโต๊ะ รวมทั้งควานหาซองรูปอาทิจในกระเป๋าสะพายตัวเอง
       “ไหนล่ะ”
       “ณีหยิบลงมาจากห้องแล้วจริงๆ”
       ดรุณีนึกได้ รีบโทรหาเวทางค์ แวพูดทันทีที่เขารับสาย
       “พี่เวยังอยู่ที่รถใช่มั้ยคะ ช่วยดูหน่อยสิว่า ณีทำซองรูปพี่อาทิจหล่นในรถรึเปล่า ไม่มีเหรอคะ พี่เวหาดูดีๆอีกทีสิคะ มีมั้ย”
       เวทางค์ถือรูปอาทิจในมือ ขณะคุยโทรศัพท์กับดรุณี
       “ไม่มีนี่จ๊ะ พี่หาจนทั่วแล้ว มันอาจจะหล่นช่วงน้องณีหอบของไปที่โต๊ะรึเปล่า นี่ถ้าพี่ไม่ต้องรีบไปสอบจะช่วยหาให้เลยนะ จ้ะ ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่มารับจ้ะ”
       เวทางค์กดปิดโทรศัพท์แล้วเปรยกับรูปอาทิจ
       “ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่สนใจ แต่กับผู้หญิงสองคนนี้ ฉันเท่านั้นที่คู่ควร เสียใจด้วยนะ ไอ้น้องชาย”
       เวทางค์ยัดรูปอาทิจลงซองแล้วโยนทิ้งลงเข่งใส่เศษกิ่งไม้ใบหญ้าซึ่งวางอยู่แถวนั้น ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป
      
       ดรุณีเดินสะพายกระเป๋า และหอบหนังสือไปเรียนที่ตึกที่เป็นห้องแลปกับตุลยานี ระหว่างทาง ดรุณีคอยกวาดตา มองตามพื้นถนนตลอดเวลา
       “ณีขอโทษนะ อุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดีตั้งแต่เมื่อคืน มันหายไปได้ยังไง ไปหล่นอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
       “ไม่ต้องหาแล้วล่ะณี ถ้าจะเจอ มันคงเจอไปนานแล้ว”
       ทั้งคู่เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง
       “ณีให้พี่อาทิจถ่ายรูปส่งมาอีกทีก็ได้”
       “ไม่เป็นไรหรอกณี เกรงใจพี่เขา อีกอย่าง ถ้าคนมันจะได้เจอ ได้รู้จักกัน สักวันมันก็ต้องมาเจอ มารู้จักกันจนได้แหละ ไม่ต้องซีเรียสน่า ไป”
       ตุลยานีขยับเดินออกไปกับดรุณี โดยไม่เห็นว่าที่เข่งใส่เศษใบไม้ที่ทั้งคู่หยุดยืนคุยกันเมื่อครู่
       มีรูปอาทิจซึ่งกระเด็นออกมาจากซอง 2-3 รูป อยู่ตรงนั้น
      
       วิไลลักษณ์ตรวจดูบัญชีที่อาทิจสรุปตัวเลขไว้อย่างพอใจ
       “ก็เรียบร้อยดี แต่พอจะกะได้รึยังว่าปีนี้จะได้กำไรสักเท่าไหร่ ไม่ใช่อะไรหรอกนะก็อาประวิงกับอาประวินน่ะสิ คะยั้นคะยอให้อามาถาม”
       อาทิจอึดอัดใจกับคำถาม แต่พยายามตอบ...
       “ตอนนี้ยังกะไม่ได้จริงๆครับ คงต้องรอดูใกล้ๆสิ้นปี เพราะปีสองปีมานี่ อากาศแปรปรวนมาก ทั้งฝนตกหนัก ทั้งน้ำท่วมนาน แถมหมอกกับน้ำค้างก็ลงจัด”
       “ไม่ใช่จะถ่วงเวลาเพื่อจัดแต่งตัวเลขใหม่นะ”
       แก้วเดินถือถาดน้ำเข้ามาให้วิไลลักษณ์ และได้ยินประโยคที่วิไลลักษณ์พูดพอดี
       “โถ...คุณวิไลขา มันจะแต่งกันได้ยังไงคะตัวเลขน่ะค่ะ พนักงานบัญชีที่ออฟฟิศมีตั้งกี่คน คุณย่าท่านวางคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจไว้เป็นด่านๆ อย่างกับกำแพงแก้วเจ็ดชั้นไว้แล้ว คุณอาทิจแค่มาตรวจทานทีหลังเท่านั้น หรือคุณวิไลอยากจะทานเองคะ บัญชีแต่ละเดือนมีไม่มากหรอกค่ะ แค่นี้เอง”
       แก้วลุกไปหอบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะที่เทินสูงจนล้นอก ลงวางตรงหน้า วิไลลักษณ์หน้าแหย
       “โอ๊ย...จะมากมายอะไรขนาดนี้ ฉันไม่มีเวลาทำหรอก งานสังคมฉันมีวันเว้นวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาดู”
       “งานคุณอาทิจมีทุกวันทั้งวัน ยังเจียดเวลามาดูได้เลยค่ะ”
       “ก็คุณแม่ท่านสั่งให้อาทิจทำ ท่านคงเห็นแล้วว่าอาทิจทำได้”
       “ก็นั่นสิคะ ถ้าท่านไม่เห็นว่าคุณอาทิจทำได้และทำได้ดีกว่าใคร ท่านก็คงไม่สั่งให้ทำหรอก จริงมั้ยคะ”
       วิไลลักษณ์หน้าร้อนผ่าวที่โดนแก้วตอกกลับ จึงกลบเกลื่อนด้วยการยกน้ำขึ้นดื่มดับความเดือดในใจ
      
       อาทิจเดินมาส่งวิไลลักษณ์ที่หน้าบ้าน ทั้งคู่เดินคุยกันมา
       “ได้ข่าวว่าเรียนต่อปริญญาตรีเหรอ”
       “ครับ ผมเรียนด้านบริหารจัดการเพิ่มเติม”
       “หวังว่าคงไม่ได้เอามาบริหารจัดการสวนคุณย่า จนคิดว่ากิจการของคุณย่าเป็นของเรานะ”
       “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ที่เรียนด้านนี้เพิ่มก็เพราะอยากมีความรู้ในเรื่องที่คุณย่ามอบหมายให้ทำครับ”
       “เกี่ยวกับยายณีด้วยรึเปล่า”
       “คุณอาหมายความว่ายังไง”
       “อ้าว...อีกไม่กี่วันตาเวก็จะรับปริญญา ส่วนยายณีก็จะจบตามๆกันมา อาหวังว่าอาทิจคงไม่ได้ต้องการจบปริญญาตรี เพราะอยากจะเทียบชั้นตาเวกับยายณีนะ”
       “ที่ผมเรียนเพราะผมต้องการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เรียนเพื่อไปทาบรัศมีใคร เพราะยังไงผมก็เทียบคุณเวหรือน้องณีไม่ได้อยู่แล้ว”
       วิไลลักษณ์ยิ้มสบายใจ
       “ดีแล้วจ้ะที่คิดอย่างนี้ ที่อาต้องถามบ่อยๆ อาทิจอย่าเพิ่งเบื่อนะ อาแค่อยากให้ทุกคนที่รักคุณย่าทำตามความต้องการของท่านเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องตาเวกับยายณีที่ท่านหวังเอาไว้มาก ว่าจะให้ลงเอยกัน อาทิจเข้าใจนะ”
       “ครับ”
       “ถ้างั้น อาไปล่ะ”
       อาทิจยกมือไหว้นอบน้อม วิไลลักษณ์เดินหน้าบานออกไป ในขณะที่อาทิจถอนใจเฮือก
      
       ในห้องสอบ...ดรุณีนั่งทำข้อสอบข้างๆ ตุลยานี บนโต๊ะดรุณีมีดอกหญ้าแห้งของอาทิจวางอยู่ด้วย หญิงสาวนึกถึงข้อความในจดหมายที่เธอเขียนถึงอาทิจไปก่อนหน้านี้
       ‘...ปิดเทอมปีนี้ณีไม่กลับสวนคุณย่านะคะ ณีจะลงเรียนซัมเมอร์กับตุ่น เพราะอยากจบเร็วๆ จะได้กลับมาช่วยพี่อาทิจทำงาน’
      
       แสงอาทิศยามบ่ายสาดส่องผืนนาข้าวเป็นสีทอง อาทิจเดินตรวจดูรวงข้าวเมล็ดอวบสุกปลั่ง โดยมีลุงเกร็งกับต๊อดยืนดูน้ำในแปลงไกลๆ ชายหนุ่มนึกถึงข้อความในจดหมายที่เขียนตอบดรุณีไป
      
       ‘...น้องณีเรียนให้เต็มที่เต็มกำลัง ไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่นี่ พี่จะดูแลให้เป็นอย่างดี เพื่อรอวันที่น้องณีกลับมา ตอนนี้กล้าข้าวที่เราช่วยกันหว่านและดำ กลายเป็นต้นข้าวสีทองเต็มเนิน งดงามไปอีกแบบอย่างที่คุณย่าท่านว่าไว้’
       
       เช้าวันใหม่...ทิวดอกบ๊วยสีขาวสะอาดตาเบ่งบานในสวนบนเนินเขา อาทิจนั่งเขียนจดหมายอยู่ใต้ต้นบ๊วย
       
       “...งานที่สวนมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะพี่ขยายพื้นที่ปลูกผลไม้ออกไป ต้นบ๊วยที่ทดลองปลูกไว้ก็กำลังออกดอกสวยงาม พี่อยากให้น้องณีขึ้นมาเห็นจริงๆ”
      
       ท่ามกลางแสงสีทองของอาทิตย์ยามเย็น อาทิจนอนคว่ำหน้าเขียนจดหมายอยู่ที่ท้ายแปลงลาเวนเดอร์ที่ชูช่อสีม่วงหวานละมุน
      
       “...ดอกลาเวนเดอร์ก็กำลังออกดอกสีม่วงน่ารัก พี่จะไม่ถ่ายรูปส่งไปให้ดูหรอกนะ อยากให้น้องณีขึ้นมาเห็นกับตาตัวเองมากกว่า ตอนนี้เรียนให้เต็มที่เรียนจบเมื่อไหร่ พี่จะพาน้องณีตระเวนดูสวนให้ทั่ว รับรองว่ามีงานรออยู่อีกเยอะ อย่าบ่นว่าเหนื่อยซะก่อนล่ะ”
      
       อาทิตย์ต่อมา ดรุณีนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของเธอในมหาวิทยาลัย หญิงสาวนั่งอ่านจดหมายอาทิจในช่วงสุดท้าย
       “เป็นห่วงน้องณีนะครับ พี่อาทิจ”
       ตุลยานี ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ หันมามอง
       “คิดถึงบ้านล่ะสิ”
       ดรุณียิ้มพยักหน้า
       “อือ”
       เวทางค์เข้ามาทักทายสองสาว
       “สวัสดีจ้ะ สาวๆ”
       “ตั้งแต่จบมานี่ พี่เวไม่ต้องหางานทำเหรอคะ ตุ่นเห็นคอยรับส่งยายณีทุกวัน” ตุลยานีแขวะ
       “พี่ว่าจะรอดูสักพักว่างานอะไรที่เหมาะกับพี่ เก่งเลือกได้น่ะจ้ะ”
       ดรุณีแปลกใจ
       “อ้าว ไหนพี่เวบอกอยากเป็นผู้ว่า เหมือนคุณพ่อ”
       “เอาเข้าจริง พี่ชักไม่แน่ใจแล้วจ้ะน้องณี เห็นคุณพ่อทำงานแล้วเหนื่อยแทน”
       “ก็ดีค่ะ ถ้ารู้ตัวว่ายังเสียสละเพื่อคนอื่นไม่ได้เต็มที่ ก็อย่าเพิ่งคิดไปทำงานที่ต้องทำเพื่อคนอื่นเลย”
       ตุลยานี ยิ้มชมประสมประชดเล็กๆ
       “เก่งจังเลยค่ะพี่เว อุตส่าห์ รู้ใจตัวเองด้วย”
       “ไม่ต้องประชดเลยน้องตุ่น พี่มีอะไรดีเยอะกว่าที่น้องตุ่นคิดนะ”
       สองสาวแอบหันมาสบตากันแล้วอมยิ้ม มีอะไรดีบ้างมากกว่า
      
       ใกล้ปีใหม่ แล้วอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น อาทิจอุ้มตะวันพร้อมกับสั่งงานต๊อด อึ่ง พันให้ขนเข่งกะหล่ำปลีขึ้นที่ท้ายรถ ต๊อดบ่นอุบ
       “โอ๊ย จะขนไปให้ใครนักหนาเนี่ย”
       “อย่าบ่น วางดีๆ อย่าให้เบียดเข่งกะหล่ำปลีด้านในนะ”
       อึ่งแปลกใจ
       “ลูกค้าคนนี้คงสำคัญมากสินะ ขนไปฝากซะยกสวนขนาดนี้”
       “เออ”
       พันหันมาถาม
       “นายจะไปกี่วันอะ”
       “ทำไม จะอู้รึไง”
       ต๊อดยิ้ม
       “ฉลาดทันโลกอีกล่ะ”
       “อย่าให้รู้นะว่าอู้ ไม่งั้นจะตัดเงินเดือนให้หมดเลย” อาทิจพูดกับตะวัน “นายตะวัน ช่วยพ่อดูด้วยนะว่ามีใครแถวนี้ขี้เกียจ ไม่ทำงานรึเปล่า”
       ตะวันรับคำ
       “ครับ พ่อทิจไปกี่วัน”
       “2 วันลูก”
       พันตะบึงตะบอน
       “ทีเราถามไม่เห็นตอบหวานๆอย่างงี้มั่ง คำถามเดียวกันเด๊ะ”
       “พ่อทิจซื้อของเล่นมาให้ตะวันบ้างนะครับ”
       อาทิจรับคำ
       “ครับผม”
       อึ่งทำน่ารักเลียนแบบตะวัน
       “พ่อทิจซื้อของเล่นมาฝากเรา 3 คนด้วยนะครับ”
       “เอาเดี๋ยวนี้เลยมั้ย”
       อาทิจวาดแข้งวาดขาถากสามเกลอไปมา ทั้งๆที่ยังอุ้มตะวัน ต๊อดโดดหลบ
       “โหย...ไม่เอาก็ได้ นึกว่าอยากได้นักเหรอ เชอะ”
       อาทิจหันไปหาแก้ว
       “ผมฝากนายตะวันด้วยนะครับน้าแก้ว”
       “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
       อาทิจหอมตะวันเต็มรักก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แก้ว แล้วขึ้นรถขับออกไป ตะวัน ต๊อด อึ่ง พัน ยืนเอนหัวไปทางเดียวกัน โบกมือข้างเดียวกัน เป็นจังหวะเดียวกันให้อาทิจ
      
       อาทิจขับรถเข้ามาจอดที่หน้าคอนโดดรุณี ชายหนุ่มเปิดที่เก็บของตรงคอนโซลหยิบกุญแจห้องขึ้นมามอง นึกถึงเมื่อครั้งที่เขากับดรุณีเดินกันอยู่ที่ ถนนใกล้สถานีรถไฟลอยฟ้า เขาและเธอหอบของพะรุงพะรังเดินมาตามถนน ดรุณีหยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าสะพาย แล้วบังเอิญกุญแจหล่นลงกับพื้น หญิงสาวย่อตัวลงไปหยิบกุญแจที่มีอยู่ 2 ดอกขึ้นมา ก่อนจะส่งให้อาทิจดอกหนึ่ง
       “กุญแจห้องที่คอนโดค่ะ พี่อาทิจเก็บไว้ดอกหนึ่งก็แล้วกัน”
       “เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับน้องณี”
       “เก็บไว้เถอะค่ะ เผื่อพี่อาทิจแวะมากรุงเทพ แล้วอยากจะพักสัก สองสามชั่วโมงก็ขึ้นไปนอนที่ห้องได้”
       “แต่ มัน...จะดีเหรอ”
       “ดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ใจของเราค่ะ ถ้าพี่อาทิจกลัวคนจะมองณีไม่ดีก็เลือกไปเวลาที่ณีมีเรียนก็ได้หรือไม่ก็ใช้ วิธีอย่างที่ณีบอก เขียนป้ายติดไว้ที่หน้าอกตัวโตๆว่า ผู้ปกครองน้องณีครับ”
       อาทิจหัวเราะที่ดรุณียังจำเอามุขนี้มาใช้
       “เอ้า...เอาไปค่ะ”
       อาทิจมองกุญแจแล้วยิ้ม ก่อนจะขยับลงจากรถไป
      
       เย็นนั้น ตุลยานีขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัย หญิงสาวจอดให้นิสิตอื่นข้ามถนนตรงทางแยก กลุ่มนิสิตทั้งถีบจักรยาน ทั้งเดินผ่านแยกนั้นไปและหนึ่งในจำนวนคนที่เดินคือ อาทิจ ตุลยานีซึ่งมองผู้คนอย่างไม่สนใจถึงกับชะงักเมื่อเห็นเขา นิสิตเดินตัดหน้าผ่านอาทิจไปมา ขณะข้ามถนน ตุลยานี เพ่งมองจนแน่ใจ หญิงสาวรีบเปิดประตูลงจากรถ แล้วโบกมือตะโกนเย้วๆ
       “คุณ คุณคะ คุณ!”
       นิสิตและคนอื่นๆต่างพากันหันมามอง ยกเว้นอาทิจที่คิดว่า ไม่มีใครรู้จักตัวเองและตนเองก็ไม่รู้จักใคร ชายหนุ่มยังคงเดินเรื่อยๆไปตามทาง ตุลยานีรีบบอกผู้คนที่เดินผ่านตรงนั้น
       “พี่คะ พี่ ช่วยเรียกผู้ชายคนนั้นให้ที...คุณคะ อย่าเพิ่งไป”
       ผู้คนตรงนั้นต่างหันไปมองกันรอบทิศเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายที่ตุลยานี ให้ช่วยเรียกนั้นคือ ผู้ชายคนไหน ตุลยานี เห็นอาทิจเดินดุ๋ยไปเรื่อยๆ ก็เลยวิ่งตามเพราะถ้าคลาดกันเที่ยวนี้ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแน่ เสียงแตรจากรถคันหลังดังขึ้น นั่นทำให้หญิงสาวได้สติ วิ่งกลับไปที่รถ ก่อนจะขับออกมาอย่าเซ็งๆ
      
       ดรุณีนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ตุลยานีวิ่งเซซังเข้ามา
       “อ๊าย ยายณี โอ๊ย ตุ่นอยากจะร้องไห้”
       “เป็นอะไรคะ คุณนาย”
       “เมื่อกี้ตุ่นเจอผู้ชายคนนั้น ผู้ชายในฝัน”
       ดรุณีตื่นเต้นไปกับเพื่อนด้วย
       “ฮ้า เจอแล้ว!”
       ตุลยานีเซ็งๆ
       “แล้วก็คลาดกันอีกแล้ว สงสัยชาตินี้คงไม่มีหวังได้รู้จัก ได้คุยกับเขาตัวเป็นๆแน่เลย”
       “เจอเขาที่ไหน”
       “ในมหาวิทยาลัยนี่แหละ เมื่อกี้นี้เอง เขากำลังเดินข้ามถนน คนเดินตัดผ่านเขาไปมาเหมือนในหนังเลย”
       ดรุณีเห็นอาทิจเดินมาแต่ไกล จังหวะการเดินตรงกับจังหวะการเล่าของตุลยานี
       “แต่ตุ่นก็เห็นเขา เขาโดดเด้งออกมาจากคนอื่น”
       ดรุณีเปรยขึ้น
       “เขาเดินยิ้มนิดๆ”
       อาทิจเห็นดรุณี ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงสาวแต่ไกล ตุลยานีตาลอย
       “ใช่ หน้าเขาเหมือนมีความสุขตลอดเวลา”
       ดรุณีบอกต่อ
       “นุ่งกางเกงยีนส์”
       “อื้อ”
       “ใส่เสื้อคอกลมข้างในสีขาว”
       “ถูก”
       “สวมเสื้อยีนส์ทับด้านนอก”
       “เผงเลย”
       อาทิจเดินเท่เข้ามาใกล้สองสาวขึ้นเรื่อยๆ
       “ผู้ชายคนที่หน้าเล็กๆ”
       “คิ้วเข้มๆ”
       “จมูกคมๆ”
       “เวลายิ้มทีงี้ ใจละลาย”
       ดรุณีโพล่ออกมา
       “พี่อาทิจ”
       ตุลยานีแย้ง
       “ไม่ใช่ ผู้ชายในฝันของตุ่นต่างหาก”
       ดรุณีดีใจทักทายอาทิจ
       “สวัสดีค่ะพี่อาทิจ”
       อาทิจยิ้มดีใจ
       “พี่แวะมารับน้องณีครับ”
       ดรุณีหันไปแนะนำเพื่อน
       “นี่พี่อาทิจจ้ะตุ่น”
       ตุลยานีหันไปมองอาทิจที่ยืนอยู่ด้านหลัง หญิงสาวตะลึงตัวชาวาบเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ อาทิจยิ้มใจละลายให้ ตุลยานีอ้าปากค้างพูดไม่ออก หญิงสาวหันรีหันขวางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับซูเปอร์สตาร์ที่ตัวเองคลั่งไคล้ สุดท้ายจึงหลุดออกมาได้แค่ประโยคเดียว
       “ดะ เดี๋ยวมานะคะ”
       ตุลยานีวิ่งจูงมือดรุณีออกไป ทิ้งให้อาทิจมองตามงงๆ
      
       ตุลยานีดึงดรุณีมาแล้วแหกปากกรี๊ดลั่น
       “อ๊าย ณีผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายคนนั้น”
       “คนไหน”
       “พี่อาทิจของณี กับ กับผู้ชายในฝันของตุ่นคือ โอ๊ย คือ คนคนเดียวกัน”
       ดรุณีอ้าปากหวอกับเรื่องบังเอิญซะยิ่งกว่าบังเอิญที่เกิดขึ้น หญิงสาวจับแขนเพื่อนลูบไปมาเพื่อให้ตั้งสติ
       “ใจเย็นๆ ยายตุ่นสูดหายใจลึกๆๆ ช้าๆๆ เจอชายในฝันแล้วก็อย่าเพิ่งขาดใจตายซะก่อน ลึกลึก ช้าช้า”
       ตุลยานีพยายามทำตามที่ดรุณีแนะนำสุดฤทธิ์ ไม่งั้นหัวใจหล่อนคงได้วายแน่ๆ
      
       ดรุณีพาตุลยานีซึ่งยังหายใจไม่เป็นจังหวะเดินกลับมาหาอาทิจ ซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
       “พี่อาทิจคะ นี่ยายตุ่นเพื่อนสนิทณีค่ะ”
       อาทิจยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
       “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
       ตุลยานีแทบละลาย ปากคอสั่น แต่ก็อยากเจ๊าะแจ๊ะกับเขา
       “สวัสดีค่ะพี่อาทิจ เราเคยเจอกันแล้ว ตอนที่ตุ่นซ้อมดรัมเมเยอร์ที่สนามเมื่อปีที่แล้ว พี่อาทิจจำได้มั้ยคะ”
       อาทิจนึกๆ
       “ดรัมเมเยอร์ซุ่มซ่ามที่วิ่งไปรับคฑาแล้วล้มใส่พี่อาทิจน่ะค่ะ”
       อาทิจนึกออก
       “อ้อ จำได้แล้วครับ ผู้หญิงคนนั้น คุณตุ่นนี่เอง”
       “ค่ะ ตุ่นเอง บังเอิญจริงๆนะคะ”
       ดรุณีแซว
       “มีเรื่องบังเอิญกว่านั้นตามมาอีกหลายครั้ง ไว้ณีจะเล่าให้ฟัง พี่อาทิจต้องกลับสวนเลยรึเปล่าคะ ถ้าไม่รีบ อยู่กินข้าวที่คอนโดด้วยกันสักมื้อนะคะ เดี๋ยวณีกับตุ่นแสดงฝีมือเอง”
       อาทิจยิ้มรับ
       “ครับ”
      
       ดรุณีแอบหันมายักคิ้วให้เพื่อน ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินนำอาทิจออกมา ตุลยานีจับหัวใจตัวเองกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก ดรุณีหัวเราะขำเพื่อน ปล่อยให้ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเดินตามโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ขอขอบคุณจาก manager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ