อ่านละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2 วันที่ 22 มิ.ย. 55

{[['']]}
 ต๊อดแต่งกิ่งส้มไปพูดถึงอาทิจอย่างปลื้มๆ อึ่ง พัน ลุงเกร็ง แต่งกิ่งส้มอยู่ข้างๆกัน โดยมีไพฑูรยืนเท้าเอวมองอย่างไม่พอใจ
      
       “คุณอาทิจเขามีน้ำใจสุดๆเลยพี่ฑูร เมื่อคืนแบ่งหมอนกับผ้าห่มให้ต๊อดยังไม่พอ เช้าขึ้นมายังแบ่งสบู่กับยาสีฟันให้ต๊อดอีก...มีหลานคุณย่าคนไหนบ้างที่มี น้ำใจกับคนงานแบบนี้ ไม่มี้”
       “สำคัญ ยืนยันอีกครั้ง...ดังๆว่า หล่อม๊าก” อึ่งเสริม
       ต๊อคทำท่าเคลิ้มๆ
       “ถูก...ขนาดเมื่อเช้าตื่นมาฟ้ายังไม่สาง ข้ายังเห็นคุณอาทิจนอนปากแดงทะลุความมืดออกมาเลย นี่ถ้าไม่แมนโคตรมาตั้งแต่เกิดล่ะก็ ข้าคงเผลอใจจ๊วบไปแล้ว”
       ลุงเกร็งถอนใจ
       “ตกลงคุณอาทิจจะมาเดินแบบ หรือจะมาทำสวนวะเนี่ย พวกเอ็งพูดจนข้างง”
       ไพฑูรหัวเราะ
       “ไม่ใช่แค่งง ยิ่งพูดยิ่งชวนให้ขำกลิ้งต่างหาก ถ้าหล่อรากแตกขนาดนั้นจะมาทำไร่ทำสวนหาพระแสงอะไร คุณย่านี่ก็แปลก...มีหลานที่ขยันและรับผิดชอบงานอย่างข้าคนเดียวก็น่าจะพอ แล้ว เที่ยวได้ตามไอ้พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมาทำงานอยู่ได้ เปลืองข้าวเปลืองน้ำแท้ๆ ไม่เห็นมีใครสู้ข้าได้สักคน”
       “จ้า ถ้าเรื่องงานละก็ สู้พี่ฑูรไม่ได้แน่ แต่เรื่องหล่อนี่ ขอบอกว่าคนนี้กินขาด” พันประชด
       “มันจะหล่อตะพึดตะพืออะไรขนาดน้าน”
       สิ้นเสียงไพฑูร ทุกคนก็ได้ยินเสียงคนงานบอกต่อกันมาเป็นทอดๆว่า หลานคุณย่ามา ไพฑูรหันไปมองแล้วถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็น อาทิจพาย่าแดงเดินมา ทุกคนยกมือไหว้
       “สวัสดีครับคุณย่า”
       “อยู่รวมกันที่นี่ก็ดีแล้ว จะได้แนะนำซะทีเดียวเลย นี่ไพฑูร เป็นหัวหน้าแผนกเครื่องมือและดูแลผลผลิต แล้วนี่ก็นายเกร็ง เป็นหัวหน้าคนงานของที่นี่ ส่วน นี่ก็พ่ออาทิจ หลานชายฉันเอง พ่ออาทิจจะมาช่วยฉันดูแลงานที่นี่”
       อาทิจยกมือไหว้ไพฑูรกับลุงเกร็งอย่างนอบน้อม
       “สวัสดีครับ”
       ย่าแดงมองต๊อด อึ่ง พัน
       “ส่วนไอ้เจ้าสามลิง นี่ คงไม่ต้องแนะนำแล้วมั้ง”
       อาทิจยิ้มให้ทั้งสาม
       “ต๊อด อึ่ง พัน ผมจำได้แม่นครับ”
       ต๊อด อึ่ง พัน ยืดอกภูมิใจที่เจ้านายจำชื่อได้ ย่าแดงหันไปหาไพฑูร
       “เมื่อกี้คุยให้พ่ออาทิจฟังว่า รถแทรกเตอร์เราเสียอยู่ 2 คัน เอาไปซ่อมแล้วรึยังล่ะ”
       “คือ...เอ่อ...ยังครับ ช่างจากจังหวัดมันไม่ยอมมาสักที” ไพฑูรรีบออกตัว “ผมเองก็เกรงว่าคุณย่าจะเสียประโยชน์ ทั้งขอร้องทั้งอ้อนวอนจะเอารถไปรับมันมาซ่อม มันก็ไม่มา อ้างว่างานรัดตัว แย่มาก แย่จริงๆนี่ถ้าผมซ่อมเองได้ ผมทำไปนานแล้ว”
       “ถ้างั้นรบกวนพี่ฑูรพาผมไปดูหน่อยได้มั้ยครับ เผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้าง”
       ทุกคนยิ้มที่อาทิจขันอาสาจะช่วย ในขณะที่ไพฑูรก็ยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ซ่อนความหมั่นไส้และไม่พอใจลึกๆ
      
       ไพฑูรเดินยิ้มเย้ยออกมาจากโรงเก็บแทรกเตอร์
       “ซ่อมไปเห๊อะ ชาติหน้าตอนค่ำๆจะวิ่งได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
       ไพฑูรหัวเราะหยามเหยียด ก่อนจะเบรกอารมณ์แทบไม่ทันเมื่อหันมาเจอ ดรุณียืนจังก้าอยู่ตรงหน้าไพฑูรยิ้มแหะๆ
       “คุณณี”
       “ณีถามพวกคนงานเขาบอกคุณย่ามาที่นี่”
       “ครับ มากับคุณอาทิจครับ”
       ดรุณีบ่นเปรยๆ
       “คุณย่าอายุมากแล้ว เที่ยวได้พาท่านตะลอนไปนู้นมานี่ทั้งวัน เกิดท่านไม่สบายขึ้นมาจะว่ายังไง ทำอะไรไม่รู้จักคิด”
       ไพฑูรหูผึ่ง ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ในทันทีว่าดรุณีไม่ชอบขี้หน้าอาทิจแน่ๆ เลยกระพือไฟใส่ชายหนุ่มซ้ำ
       “พี่ฑูรก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ มานี่ก็ชวนคุณย่าอยู่ดูตัวเองซ่อมรถแทรกเตอร์อยู่นั่นแล้ว แต่พี่ฑูรเห็นคุณย่าท่านเหนื่อยมาก ก็เลยให้ตาเกร็งขับรถไปส่งที่บ้านก่อน” ไพฑูรทำหัวเราะอารมณ์ดี “เด็กหนุ่มไฟแรงก็อย่างนี้ล่ะครับ อยากทำอะไรให้ผู้ใหญ่ชื่นชม”
       ดรุณีโมโหลมออกหู
       “ก็ทำไมไม่ทำคนเดียวให้เสร็จก่อนล่ะ ชวนคนแก่มาทรมานด้วยทำไม”
       ไพฑูรรีบหยอด
       “ทำคนเดียวก็ไม่ได้หน้าสิครับคุณณี พี่ฑูรว่าหลานคนนี้ของคุณย่าท่าจะประจบผู้ใหญ่เก่งน่าดูนะครับ...ไปๆมาๆ คุณอาทิจจะเบียดแซงตำแหน่งหลานรักเบอร์หนึ่ง ของคุณย่าจากคุณณีซะก็ไม่รู้”
       ดรุณีเอามือจิกหนังสือ พร้อมกัดฟันแน่น โดยมีไพฑูรยืนยิ้มพอใจ
      
       ดรุณีเดินเข้ามาในโรงเก็บแทรกเตอร์ เห็นอาทิจนอนถอดดูเครื่องช่วงล่างของรถแทรกเตอร์คันหนึ่งอย่างขะมักเขม้น ดรุณีเดินเข้ามายืนพูดลอยๆอยู่ตรงหน้า
       “ไม่ต้องจริงจังนักก็ได้ ไว้รอคุณย่ามาตรวจงานซะก่อน แล้วค่อยทำเป็นใส่ใจประจบคุณย่าดีกว่ามั้ง”
       อาทิจเหล่มองดรุณีแวบนึง ก่อนจะหันไปรื้อดูเครื่องต่อ
       “ผมไม่ใช่คนหน้าไหว้หลังหลอก หรือว่าคุณชอบทำอย่างนั้นบ่อยๆ ถึงได้อยากให้คนอื่นเป็นเหมือนคุณ”
       “นายอาทิจ...อย่านึกนะว่าลุกขึ้นมาหยิบจับอะไรแค่นี้แล้วจะทำให้ใครๆ ซูฮกนาย ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง กล้าพูดกล้าโอหังใส่คนอื่นขนาดนี้เลยเหรอ”
       “ถึงผมจะยังทำไม่สำเร็จ แต่ผมก็ลงมือทำ ชีวิตผมมีอะไรทำมากกว่าเดินถือหนังสือไปมา แต่ตาไม่ได้อ่านเพราะเอาแต่จ้องจับผิดคนนั้นคนนี้ทั้งวัน”
       ดรุณีโกรธจี๊ด
       “นายว่าใคร!”
       “ผมพูดถึงใคร ผมไม่ได้เอ่ยชื่อใครสักหน่อย” อาทิจแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็น “อุ้ย...เพิ่งเห็น ว่าคุณย่าน้อยถือหนังสือมาด้วย”
       “นายอาทิจ”
       “หวังว่าคุณย่าน้อยคงไม่ใช่คนประเภทที่วันๆเอาแต่จ้องจับผิดใครนะครับ เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังไร้สาระมากด้วย”
       “นายอาทิจ”
       ดรุณีโกรธจัดมือไม้สั่น หญิงสาวไม่รู้จะระบายออกยังไง จึงเตะขาเขาที่โผล่ออกมาด้านนอกข้างหนึ่งอย่างแรง
       “นี่แน่ะ”
       ดรุณีวิ่งหนีออกไป อาทิจโผล่ออกมาจากใต้ท้องรถ แล้วเอามือกุมหน้าแข้งตัวเอง
       “อูย...ยัยคุณย่าตัวแสบ”
       อาทิจมองตามหลังดรุณีที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้าเหยเก
      
       ดรุณีหอบหนังสือเดินตึงๆเข้ามาในสวนส้ม แล้วบ่นกระปอดกระแปดมาตามทาง
       “หนอย...มาว่าเราไร้สาระ ไม่สนใจเรียน นายรู้จักฉันน้อยไปแล้ว นายรู้มั้ยว่าเทอมสุดท้ายฉันได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ 3.98 ได้อันดับ1 ของห้อง รู้รึเปล่าได้ยินมั้ย...นายอาทิจ”
       ดรุณีตะโกนเสร็จ ก็มองหามุมสงบกระแทกตัวลงนั่งใต้ต้นส้มต้นหนึ่ง แล้วเปิดหนังสืออ่านอย่างตั้งใจ สักครู่ ต๊อด อึ่ง พัน ลุงเกร็ง เดินมาเล็มกิ่งส้มใกล้ๆต้นที่ดรุณีนั่งอยู่ โดยไม่มีใครเห็นหญิงสาว
       “จะว่าไปคุณอาทิจนี่ก็ดูอ่อนน้อมถ่อมตนดีนะ ไม่กร่างเหมือนหลานคุณย่าคนอื่น” ลุงเกรงเอ่ยชม
       ดรุณีชะงักกึก หญิงสาวสูดหายใจลึก พยายามข่มอารมณ์ไม่สนใจฟัง
       “ใช่...ขยันด้วย ดูสิ...เพิ่งมาถึงแค่วันเดียวยังอาสาไปซ่อมแทรกเตอร์ให้คุณย่าแล้วไอ้รถนั่น ใครๆก็รู้ว่ามันซ่อมยากจะตาย” ต๊อดน้ำเสียงปลื้มมาก
       “แต่ข้าว่าคุณอาทิจต้องทำได้ว่ะ ไม่ว่าจะซ่อมรถหรือทำสวน” อึ่งพูดอย่างมั่นใจ
       ลุงเกร็งมองหน้าอึ่ง
       “เอ็งจะแน่ใจอะไรขนาดนั้น”
       อึ่งยิ้มปลื้ม
       “เพราะเขาหล่อ”
       พันรีบเสริม
       “และนิสัยดี”
       ดรุณีหลับตา พยายามสูดลมหายใจเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายมากที่สุด แล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ
       “แค่หล่อและนิสัยดี มันไม่ได้ทำให้เป็นชาวไร่ชาวสวนที่ดีได้นะโว้ย มันต้องมีความมานะ อดทน หนักแน่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ที่สำคัญที่สุดต้องสมบุกสมบันด้วยเว้ย” ลุงเกร็งแนะ
       ดรุณียิ้มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อย ลุงเกร็งก็ไม่ได้ตื่นเห่ออาทิจเหมือนคนอื่นๆ
       “นี่หมายความว่าน้าเกร็งไม่เชื่อว่า คุณอาทิจจะทำไร่ทำสวนได้งั้นเหรอ” ต๊อดถาม
       “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ข้ายังไม่เห็นก็เลยไม่อยากฟันธง แต่...”
       ลุงเกร็งนิ่งไป ต๊อดถามอย่างสงสัย
       “แต่อะไรอีกล่ะ ยังจะมีข้อด้อยอะไรอีก ฟังแค่นี้ก็เหี่ยวแล้วนะ”
       “แต่ ข้าแอบเห็นแววตาคุณอาทิจ ข้าว่าแววตาอย่างนี้ล่ะที่บอกถึงความเป็นคนมุ่งมั่น จริงจังและหนักแน่น”
       ดรุณี หุบยิ้ม พันคิดตาม
       “อย่างนี้ก็หมายความว่า...”
       ลุงเกร็งพยักหน้า
       “เออ...ลึกๆแล้วข้าก็เห็นด้วยกับพวกเอ็งนั่นแหละ แต่ข้าอยากรอให้ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนก่อนเท่านั้นโว้ย”
       ต๊อด อึ่ง พัน กระโดดโลดเต้นส่งเสียงเฮเจี๊ยวถูกใจมาก แต่แล้วทุกคนก็ต้องจ๋อย เมื่อดรุณีทนไม่ได้ที่เห็นทุกคนปลื้มอาทิจ หญิงสาวลุกขึ้นมาแผดเสียงลั่น
       “ส่งเสียงอะไรกันดังลั่นเลย หนวกหูจริง ณีอุตส่าห์หลบมาอ่านหนังสือถึงนี่อ่านไม่รู้เรื่องเลย...ไม่รู้จะตื่นเต้น อะไรกันนักหนา”
       ดรุณีเดินกระแทกเท้าออกไป จบทุกคนมองตามหลังหญิงสาวไปก่อนจะหันกลับมามองกันเองเอ๋อๆ เงียบเป็นเป่าสากกันถ้วนทั่ว
      
       เย็นนั้น ย่าแดงนั่งปอกแอ๊ปเปิ้ลแช่ในอ่างน้ำเกลืออยู่กับแก้วที่ระเบียงบ้าน แก้วพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
       “ต๊าย...ถ้าคุณอาทิจซ่อมแทรกเตอร์ได้ก็นับว่าเก่งมากเลยนะคะคุณย่า”
       ดรุณีถือหนังสือเข้ามาเห็นย่าแดงนั่งอยู่ หญิงสาวหน้าระรื่น ตั้งท่าจะเข้าไปกอดซุกไซ้ แต่แล้วก็ต้องชะงัก
       “ซ่อมได้หรือไม่ได้มันไม่สำคัญเท่ากับ การที่เราได้เห็นความมีน้ำใจและความตั้งใจดีของคนคนหนึ่งหรอกแม่แก้ว ดูโดยรวมแล้ว พ่ออาทิจเขาเป็นคนที่มีความคิด มีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วก็พร้อมจะเรียนรู้และรับฟัง แกต้องไปเห็นตอนที่ตาเกร็งร่ายยาวเรื่องงานในสวนส้มให้พ่ออาทิจฟัง พ่ออาทิจนะยืนฟังตาแป๋วเลย”
       ดรุณีเหมือนมีก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย
       “คุณย่าเลยดูจะเบาใจนะคะ อย่างน้อยคุณอาทิจก็ไม่ถือยศถือศักดิ์ว่าเป็นหลานคุณย่า” แก้วบอกอย่างชื่นชม
       ย่าแดงพยักหน้า
       “ใช่...นับว่าพ่อแม่เขาสอนมาดีเรื่องไม่ดูถูกคนอื่น แล้วพวกคนงานก็ดูเหมือนจะชอบพ่ออาทิจกันด้วย ตอนนี้ก็เหลืออยู่เรื่องเดียวคือรอดูว่า เขาจะอดทนและทำได้อย่างที่ตั้งใจรึเปล่า”
       “แต่แค่นี้คุณย่าก็ดูจะสบายใจมากเลยนะคะ แก้วไม่เคยเห็นคุณย่ายิ้มอย่างมีความสุขอย่างนี้มานานแล้ว คราวนี้คงจะวางมือได้สักทีนะคะ”
       ย่าแดงยิ้มเต็มไปด้วยความหวัง
       “ถ้าพ่ออาทิจเป็นใจได้อย่างนั้นก็ดีสิ เดี๋ยวให้จิ๋วแจ๋วไปตามพ่ออาทิจมากินข้าวด้วยนะ ไม่รู้ป่านนี้ยังซ่อมรถนั่นอยู่รึเปล่า หิวรึยังก็ไม่รู้”
       ดรุณีน้อยใจ เสียใจจนน้ำตาคลอรำพึงในใจ
       ‘อะไรๆก็นายอาทิจ จะถามหาเราสักคำก็ไม่มี’
       ยิ่งพูดยิ่งเสียใจหนัก ดรุณีไม่สามารถทนกลั้นสะอื้นอยู่ตรงนั้นได้ หญิงสาววิ่งออกจากบ้านไปทันที ย่าแดงมองหา
       “นี่แม่ณีไปไหนล่ะ”
       “ไปหาที่อ่านหนังสือค่ะ หายไปทั้งวันเลย คงกลัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้น่ะค่ะ”
       ย่าแดงยิ้มชื่นใจ
       “มีหลานเกือบ 30 คน ฝากผีฝากไข้ได้สัก 2 คน ก็ยังดีนะแม่แก้วนะ”
      
       แก้วพยักหน้ายิ้มเออออ มีความสุขไปกับความหวังของคุณย่า
ดรุณีวิ่งร้องไห้เข้ามาในสวนส้ม คนงานหอบเครื่องมือพากันทยอยเดินออกจากสวน ในทิศตรงกันข้ามกับที่ดรุณีวิ่งเข้ามา หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งคุดคู้อยู่ใต้ต้นส้มแสนรักต้นหนึ่ง แล้วระบายความในใจออกมา ตามด้วยน้ำตาที่ร่วงรินอย่างพรั่งพรู
      
       “ใครจะมาใส่ใจเด็กกำพร้าอย่างเรา เกิดมาแม้แต่หน้าพ่อแม่ก็ไม่เคยเห็น หวังจะอยู่กับคุณย่าไปตลอดชีวิต ท่านก็มีหลานรักคนใหม่ไม่สนใจเราแล้ว ก็ใช่สิ เขาเป็นย่าหลานเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกันแท้ๆ แล้วเราเป็นใคร ถ้านายนั่นรู้ว่าเรามันก็แค่เด็กเก็บมาเลี้ยงคนหนึ่ง เขาจะหัวเราะเยาะเราสักแค่ไหน ขนาดไม่รู้...เขายังโอหังกับเราขนาดนี้ ถ้าเขารู้เขาคงเหยียบเราจมดิน ใครจะมาเข้าใจหัวใจของเรา ใครจะคอยปลอบโยน คอยซับน้ำตาให้คนไม่มีแม่อย่างเรา นอกจาก...”
       ดรุณีมองไปที่ผืนดิน หญิงสาวเอามือไล้แผ่นดินอย่างแผ่วเบา
       “แม่พระธรณี เราคงมีแต่เพียงแม่พระธรณีเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง”
       ดรุณีสะอื้นไห้จนตัวโยน หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้น น้ำตาทะลักไหลลงสู่พื้นดิน
       “แม่ที่แท้จริงของเราก็คือแผ่นดินนี่เอง รับลูกไว้เป็นลูกคนหนึ่งนะจ๊ะ...แม่จ๋า”
       ดรุณีเกลือกซบหน้าและตัวลงกับผืนดิน ราวกับกำลังซุกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและยิ่งใหญ่ของแม่
      
       ค่ำนั้น...อาทิจขยับเก้าอี้หัวโต๊ะ ให้ย่าแดงนั่ง ก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ แก้วยกโถข้าวเข้ามาตักใส่จานย่าแดง
       “แม่ณียังไม่กลับมาอีกเหรอ”
       “ค่ะ เห็นเจ้าต๊อดบอกว่าเข้าไปอ่านหนังสือในสวนตั้งแต่ตอนบ่าย คงจะอีหรอบเดิมล่ะค่ะ อ่านจนเพลินแล้วคนงานก็ชวนไปกินข้าว”
       ย่าแดงพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาถามอาทิจ
       “รถแทรกเตอร์เป็นยังไงบ้างล่ะพ่อ”
       “ต้องค่อยๆซ่อมไปครับ ผมเองก็ไม่ได้เรียนมาทางนี้ อาศัยว่าเคยช่วยช่างที่วิทยาลัยซ่อมเพื่อเอาไปใช้งานช่วงที่เรียนมาบ้าง นี่ก็กำลังถอดเครื่องดูอยู่ครับ”
       “เจ้าฑูรมันขี้เกียจ ปัญหามีมาตั้งนานแล้ว มันก็ไม่รีบตามช่างมาซ่อม ปล่อยให้บานปลายจนใช้งานไม่ได้”
       “ถ้าหากว่าผมซ่อมจนสามารถใช้งานได้ ผมอยากจะขออนุญาตคุณย่าเอารถไปบุกเบิกที่ดินทางด้านหลังบ้านพักจะได้มั้ยครับ”
       “เอาสิ พ่อจะทำอะไรล่ะ”
       “ผมสังเกตว่าคุณย่าชอบกินผัก”
       แก้วรีบบอก
       “ไม่ใช่เฉพาะคุณย่านะคะ แก้วก็ชอบ ยิ่งคุณณียิ่งชอบใหญ่เลยค่า”
       “ถ้าทุกคนชอบ ผมจะลองปลูกผักดูครับ”
       ย่าแดงเห็นดีด้วย
       “ดีเลยพ่อ ปลูกเองกับมือ จะได้ดูแลเรื่องปุ๋ยเรื่องยาฆ่าแมลงได้”
       “น้าแก้วเห็นคุณณีเคยปลูกใส่กระถางไม่กี่ต้น พอมันโตขึ้นมา แหม...กรี๊ดกร๊าดใหญ่เลยค่ะ นี่ถ้ารู้ว่าคุณอาทิจจะปลูกเป็นแปลงๆล่ะก็ น้าแก้วว่าคุณณีต้องดีใจจนเนื้อเต้นแน่ๆ”
       “แต่...ผม...ไม่มีทุนนะครับคุณย่า” อาทิจท่าทางเกรงใจ “ถ้าคุณย่าจะกรุณาจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ให้ก่อน แล้วให้ผมผ่อนใช้ทีหลัง ไม่ทราบ...จะได้มั้ยครับ”
       “ได้สิ ถึงย่าไม่มีเงิน ย่าก็จะดิ้นรนหามาให้พ่อจนได้ ขออย่างเดียว...ขอให้พ่อตั้งใจทำอย่างเต็มกำลังก็แล้วกัน ย่าสนับสนุนเต็มที่”
       อาทิจยกมือไหว้
       “ขอบพระคุณคุณย่ามากครับ”
       ย่าแดงยกมือขึ้นจับมือหลานชายที่พนมมือไหว้แล้วยิ้มให้กำลังใจ โดยมีแก้วยืนเอ็นดูอาทิจอยู่ข้างๆ
      
       หลังจากกินข้าวกันเสร็จ อาทิจประคองแขนย่าแดงเดินออกมาที่ระเบียง
       “แล้วพ่อตั้งใจจะปลูกผักอะไรบ้างล่ะ”
       “คุณย่าชอบรับประทานสลัด ผมก็ว่าจะเริ่มที่พวกผักสลัดประเภทกรีนโอ๊ค, เรดโอ๊ค, คอส แล้วก็ สลัดแก้ว ก่อนครับ”
       “ต้องเตรียมอะไรยุ่งยากมั้ยพ่อ ย่าน่ะชอบกิน แต่ยังไม่เคยปลูกจริงจังกับเขาสักที”
       “ไม่ยุ่งยากหรอกครับคุณย่า เพียงแต่เราต้องวางแผนและเตรียมงานให้พร้อม เช่น ระหว่างที่เราไถปรับพื้นที่ที่จะใช้ปลูก เราก็ต้องเตรียมเพาะกล้าไปด้วย เพราะเราต้องใช้เวลาในการตากดินและผสมปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่แปลงผัก ในขณะที่กล้าผักก็ต้องใช้เวลาเพาะราวๆ 20 วัน ถึงจะโตพอที่จะนำมาลงแปลงปลูก ทำไปพร้อมกัน จะได้พอดีเวลากันครับ”
       “หลายขั้นตอนอยู่เหมือนกันนะ แล้วเรื่องปุ๋ยเคมี เรื่องยาฆ่าแมลงล่ะ ถ้าเราไม่ใช้จะได้มั้ย”
       “ผมจะทดลองใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ แล้วก็จะใช้น้ำหมักชีวภาพบำรุงผักดูนะครับ ส่วนยาฆ่าแมลงก็จะงดไว้ก่อน ผมจะลองเอาน้ำหมักสมุนไพรขับไล่แมลงมาลองดูครับ แต่ของพวกนี้ต้องใช้เวลาในการหมัก คงต้องเริ่มลงมือเดี๋ยวนี้เลย”
       “จะใช้อะไร ก็ให้เจ้าต๊อดมันหาให้นะพ่อ ทำอะไรที่ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้าง ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว เหลือกินเหลือใช้พอแบ่งไปขายได้เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ตัวเราเป็นคนทำเราก็สบายใจ”
       “ครับคุณย่า”
       แก้วถือถาดใส่นมอุ่นออกมา 2 แก้ว
       “นมอุ่นๆมาแล้วค่า”
       “เออ...แม่ณีล่ะ กลับมาแล้วใช่มั้ย ทำไมไม่เห็นมาหาย่าเลย”
       แก้วนึกขึ้นได้
       “ว้าย...ยังไม่กลับค่ะคุณย่า แก้วก็มัวแต่ทำนู้นนี่จนลืมไปเลยค่ะ”
       ย่าแดงชักเป็นห่วง
       “นี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว กินข้าวรึยังก็ไม่รู้ ไป...รีบออกไปตามเร็ว”
       แก้วรับคำแล้วรีบออกไปอย่างร้อนรน อาทิจเห็นแววตาย่าแดง ชายหนุ่มอ่านออกว่าท่านรักและเป็นห่วงหลานสาวคนนี้มากเพียงใด
      
       แก้วถือตะเกียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามามองหาดรุณี พร้อมโวยวายลั่น
       “ตาย...ตายแน่ๆนังแก้วเอ๊ย...บ้านยายมุ้ยก็ไม่มี ยายคำแปงก็ไม่ได้ไป อีนังสุ่ยก็ไม่เห็น แล้วคุณณีของน้าแก้วไปอยู่ไหนคะเนี่ย ส่งเสียงหาน้าแก้วทีสิค้า ถ้าหาคุณณีไม่เจอ น้าแก้วคอขาดแน่ค่า คุณณี อยู่แถวนี้รึเปล่าค้า คุณณี”
       แก้ววิ่งลัดเลาะแปลงส้มไป ตะโกนเรียกดรุณีไป จนมาเจอหญิงสาวหลับฟุบอยู่ใต้ต้นส้มต้นเดิมแก้วถลาเข้าไปประคองขึ้นมา
       “คุณณี ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้คะ”
       ดรุณีลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าแก้วหญิงสาวก็ผวาเข้าไปกอดแล้วร้องไห้โฮ
       “น้าแก้ว”
       “เป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม ไหน...บอกน้าแก้วซิ...เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรคุณณี”
       “คุณย่า...คุณย่าไม่รักหนูแล้ว หนูกลายเป็นหมาหัวเน่าสมใจหลานคนใหม่ของคุณย่าแล้ว”
       แก้วสงสาร
       “โถ...คุณณี คิดน้อยใจอะไรอย่างนี้คะ คุณย่าท่านเป็นห่วงคุณณีมากนะคะ จู่ๆมาหายตัวไปแบบนี้ ท่านใจคอไม่ดีรู้มั้ยคะ นี่ก็ไล่น้าแก้วให้มาตาม ถ้าไม่เจอ ท่านคงได้สั่งคนงานทั้งสวนให้ช่วยกันหาคุณณีพลิกแผ่นดินแน่ค่า”
       “คุณย่าจะมีแก่ใจห่วงหนูขนาดนั้นเชียวเหรอ หลานคนโปรดอยู่ติดท่านทั้งคน”
       “คุณอาทิจเธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่นะคะคุณณี คุณย่าจะรักจะผูกพันกับเธอเท่ากับคนที่ท่านเลี้ยงมากับมือเกือบ 20 ปีได้ยังไงคะ”
       “แต่หมอนั่นเขาดีเขาเก่งในสายตาของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่น้าแก้วหรือพวกคนงานสักวันคุณย่าก็คงจะหมดรักหนู แล้วเทใจไปรักหมอนั่นหมดใจเหมือนกับทุกคน”
       แก้วให้กำลังใจ
       “แล้วคุณณีจะยอมทำไมคะ คุณอาทิจซื้อใจทุกคนได้เพราะความเก่ง ความดี คุณณีก็ต้องลุกขึ้นมาเก่งและดีแข่งกับเธอสิคะ คุณณีหลบมานั่งร้องไห้เสียใจน้อยใจอยู่อย่างนี้ ก็เท่ากับคุณณีแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นสู้นะคะ”
       ดรุณีฟังแก้วแล้วอึ้ง
       “จริงสิ”
       แก้วเชียร์หนัก
       “ถ้าไม่อยากแพ้ คุณณีก็ต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ให้คุณย่าและทุกคนเห็นและยอมรับให้ได้ค่ะว่า ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่คุณณีก็อกสามศอกไม่แพ้ผู้ชาย...ต้องสู้นะคะคุณณี” แก้วใส่อารมณ์ร้องแบบเจิน เจิน “ต้องสู้...ต้องสู้ถึงจะชนะ”
       แก้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ดรุณียกมือตามมาประกบมือแก้ว เพื่อเรียกขวัญกำลังใจและความมั่นใจกลับคืนมาให้ตัวเอง
      
       อาทิจเดินออกมาจากตัวบ้าน ชายหนุ่มหันมาเจอแก้ว
       “เจอตัวมั้ยครับน้าแก้ว ผมว่าจะไปช่วยหาอยู่พอดี”
       แก้วกระซิบ
       “ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ เดินมานู่นแล้ว”
       แก้วชี้ไปทางด้านหลัง แล้วเดินเข้าบ้านไปก่อน ดรุณีเดินเข้ามา พอเจออาทิจหญิงสาวก็ปั้นหน้าบูดเชิดใส่ทันที
       “คิดเหรอว่าฉันจะกลัวนาย ฉันจะทำให้นายเห็นว่า” ดรุณีพุดตามคำพูดของแก้ว “ถึงฉันจะ
       เป็นผู้หญิง แต่ฉันก๊อกสามศอกไม่แพ้ผู้ชายอย่างนาย”
       ดรุณีก็เชิดหน้ายืดอกใส่เขา ราวกับจะประกาศว่า อกฉัน 3 ศอกจริงๆนะ อาทิจละเหี่ยใจกับพฤติกรรมผีเข้าผีออกของดรุณีมาก ชายหนุ่มมองหญิงสาวไม่ต่างจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก่อนจะพูดหน้านิ่ง
       “อกผมไม่ถึงสามศอก”
       ดรุณีก้มมองหน้าอกตัวเองที่เขย่งยืดใส่อาทิจจนแทบจะเบียดอยู่บนอกชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆลู่ไหล่ลงอายหน้าแตก
       “ลามก”
       “ผมไม่ได้ลามก ผมแค่ต้องการจะบอกคุณว่าผมมาที่นี่เพื่อแข่งกับตัวเอง เพื่อลบคำสบประมาทที่ทุกคนมีต่อคุณพ่อของผม ผมมาที่นี่เพื่อน้องๆทุกคน ไม่ได้มาเพื่อต้องการจะแข่งอะไรกับคุณ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่มีอะไรเทียบคุณได้เลย”
       ดรุณีกระหยิ่มยิ้ม เมินหน้าหนีอาทิจแล้วลอยหน้าลอยตาพูด
       “รู้จักเจียมตัวอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีปัญหาต่อกัน ฉันเป็นคนสนิทของคุณย่า เป็นหลานที่คุณย่ารักมากที่สุด จำเอาไว้ด้วย”
       ดรุณีหันมายิ้มเหยียดใส่ แต่หญิงสาวกลับต้องเจื่อนสนิท เมื่อพบว่าเขาหายไปจากตรงนั้นเมื่อไหร่ไม่รู้ เธอมองหาแล้วบ่นอย่างขัดใจ
       “ปล่อยให้พูดคนเดียวอยู่ได้...ไอ้บ้านี่”
       ดรุณียืนหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ตรงนั้น
      
       ในห้องรับแขก ย่าแดงลงนั่งแล้วถอนใจเฮือก ดรุณีนั่งอยู่กับพื้นตรงข้าม โดยมีแก้วนั่งอยู่ข้างๆ
       “เราก็คิดน้อยใจเสียใจอะไรไม่เข้าเรื่อง เข้าไปนอนอยู่ในนั้น เกิดงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันมากัดเข้าจะว่ายังไง ไม่นึกถึงใจคนที่รออยู่ข้างหลังบ้างเลย”
       ดรุณีหงอยๆ
       “ก็...หนูคิดว่าไม่มีใครรอหนู”
       “แล้วทีนี้เห็นรึยังว่า มีคนแก่หัวหงอกคนนี้รออยู่”
       ดรุณีน้ำตาร่วงเผาะออกมาทันที หญิงสาวผวาเข้าไปกอดคุณย่า
       “หนูขอโทษค่ะคุณย่า”
       ย่าแดงโอบกอดปลอบใจ
       “เราจะน้อยใจอะไรนักหนา พ่ออาทิจเขาก็เพิ่งมาที่นี่ เขาจะอยู่ทนอยู่นานแค่ไหน เราก็ยังไม่รู้ ย่าเป็นย่า ย่ามีหน้าที่ที่จะต้องให้โอกาสหลานทุกคน เพราะมันอยู่ในวิสัยที่ย่าจะให้ได้ ส่วนเขาจะทำได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราไปร้อนรนอิจฉาพี่เขาทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจเราเองนั่นล่ะที่จะเป็นทุกข์”
       “เพราะหนูรู้ตัวนี่คะว่าหนูเป็นแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่คุณย่าเก็บมาเลี้ยง”
       “แต่หนูก็เป็นลูกแม่ดัด ซึ่งเป็นเมียคนหนึ่งของคุณพ่อย่า”
       “เป็นความกรุณาของคุณย่าที่นับหนูเป็นน้อง แต่หนูรู้อยู่แก่ใจว่าหนูไม่ใช่ลูกของคุณพ่อคุณย่า พ่อของหนูเป็นเพียงผู้ชายเกเรคนหนึ่งที่ทิ้งแม่หนูไปตั้งแต่หนูยังอยู่ใน ท้อง หนูไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณย่าสักนิด”
       หญิงสาวหลุดประโยคนี้ออกมาน้ำตาไหลพรากอย่างเด็กหัวใจสลาย ย่าแดงเอามือจับไหล่หลานสาวแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตา
       “ฟังย่าให้ดีนะแม่ณี หนูจะเป็นลูกใครไม่สำคัญ ขอให้รู้ไว้อย่างเดียวว่าย่ารัก และนับหนูเป็นน้องเป็นหลานในไส้เท่านั้นเป็นพอ อย่าน้อยใจไปเลยลูก”
      
       ย่าหลานโผเข้าสวมกอดกันแน่น โดยมีแก้วนั่งเช็ดน้ำตาเป็นพยานในความรักของทั้งคู่
      
       โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณจาก manager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ