อ่านละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 12 วันที่ 12 ก.ค. 55

{[['']]}
บ่ายวันใหม่...
       อาทิจถือซองเอกสารเดินออกมาจากด้านในบริษัทที่มาติดต่อ ชายหนุ่มเดินตรงมาที่รถซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าบริษัท ก่อนจะเปิดประตูลงนั่งแล้วหันไปวางเอกสารบนเบาะที่นั่งด้านข้าง หางตาของชายหนุ่มเหลือบเห็น กระเป๋าสตางค์ของดรุณีหล่นอยู่ที่พื้น จึงก้มลงไปเก็บขึ้นมา
      
       ที่มหาวิทยาลัย...ตุลยานี ซ้อมควงคฑาในตำแหน่งดรัมเมเยอร์ด้านหน้าสุดของขบวนดุริยางค์ แถวขบวนเดินเคลื่อนตามเธอมาอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม ทุกอย่างสวยงามอลังการ รุ่นพี่ลองให้ตุลยานี เดินแล้วควงคฑาโยนขึ้นไปบนฟ้า โดยการควงให้ดูเป็นตัวอย่าง ตุลยานี ทำตาม แต่ด้วยความที่เป็นการลองโยนครั้งแรก คฑาของหญิงสาวจึงถูกโยนขึ้นไปสูงและไร้ทิศทาง
      
       ตุลยานี เห็นคฑาลอยละลิ่วไปไกล จึงวิ่งตามไปรับ หญิงสาวเอื้อมสุดแขนไปคว้าคฑาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกลงพื้น แต่เจ้าตัวก็เสียศูนย์เซคะมำพร้อมจะล้มกระแทกพื้น เธอหลับตาปี๋รู้ว่าหัวฟาดพื้นแน่ แล้วหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนมีวงแขนกำยำมาโอบรั้งตัวเธอเอาไว้ ตุลยานี ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปมองผู้ที่รั้งตัวเธอไว้จากทางด้านหลัง
       ตุลยานี หันมาเจออาทิจ หญิงสาวค่อยๆเบิกตา ตะลึงในความหล่อ เกิดอาการรักแรกพบทันที อาทิจยิ้มให้ตุลยานี แล้วค่อยๆปล่อยมือจากหญิงสาวอย่างสุภาพ
       “ขอบคุณมากนะคะ คุณ..เอ่อ..”
       ตุลยานี อยากถามชื่อ รุ่นพี่เดินเข้ามาแทรก
       “เป็นไงน้อง เจ็บรึเปล่า”
       “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีคุณคนนี้มาช่วยไว้ คุณ..เอ่อ..คุณ…”
       “ถ้าไม่เป็นไรก็รีบไปซ้อมต่อเถอะ ไป...” รุ่นพี่หันไปบอกอาทิจ “ขอบคุณนะคะ”
       “ไม่เป็นไรครับ”
       อาทิจเดินผละไป รุ่นพี่ดึงแขนตุลยานี ซึ่งยังคงเหลียวกลับมามองอาทิจไม่วางตา จนอาทิจเดินเลี้ยวไปอีกทาง
      
       ดรุณีนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ สักครู่มืออาทิจถือกระเป๋าสตางค์ยื่นเข้ามาตรงหน้า ดรุณีเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นอาทิจยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า หญิงสาวทั้งดีใจทั้งแปลกใจ
       “พี่อาทิจ! ขอบคุณมากค่ะ ณีหาทั้งคืน”
       “พี่เพิ่งเห็นมันหล่นอยู่ในรถ ก็เลยรีบเอามาให้ แล้วน้องณีมาเรียนยังไง มีเงินขึ้นรถรึเปล่า กินข้าวรึยัง”
       “เรียบร้อยแล้วค่ะ ณีแอบเก็บเงินไว้หลายที่ พี่อาทิจเสร็จธุระแล้วเหรอคะ แล้วหาณีเจอได้ยังไงเนี่ย”
       “ก็ถามเขามาตั้งแต่หน้าประตูรั้ว กว่าจะเจอโต๊ะน้องณีก็ร่วมชั่วโมง”
       “โชคดีจังเลยนะคะ ปกติชั่วโมงนี้ณีมีเรียน พอดีอาจารย์ไม่สบายน่ะค่ะ ไม่งั้นคงไม่ได้เจอกัน พี่อาทิจอยู่กินข้าวเย็นกับณีก่อนมั้ยคะ”
       “เอ่อ..ไม่ดีกว่าครับ ถ้ากลับถึงบ้านดึกเกินไป พี่กลัวว่าคุณย่าท่านจะเป็นห่วง”
       “ค่ะ ถ้างั้นณีเดินไปส่งนะคะ”
       ดรุณีลุกเดินมา อาทิจเห็นดรุณีในชุดนิสิตเต็มตัวเป็นครั้งแรก ก็เผลอมองอย่างลืมตัว
       “พี่อาทิจ ณี...มีอะไรผิดปกติเหรอ”
       “พี่เพิ่งสังเกตว่าชุดนิสิตของน้องณีดูสะอาดตาดีจัง ใส่แล้วดูขลังดีนะ”
       “ค่ะ ใส่แล้วภูมิใจมาก”
       “คนมองก็ภูมิใจมากเหมือนกันครับ”
       ดรุณียิ้มหน้าบาน เมื่อถูกชม ทั้งคู่เดินมาทางที่จอดรถ
       “รถพี่จอดอยู่ด้านนอก น้องณีส่งพี่แค่นี้ก็พอรีบกลับไปเรียนนะครับจะได้จบไวไว”
       “เหงาล่ะสิ ไม่มีใครทะเลาะด้วย”
       “คุณย่าท่านเหงาครับ พี่รู้ว่าท่านเป็นห่วงและคิดถึงน้องณีมาก”
       “ณีสัญญาค่ะพี่อาทิจ ณีจะรีบเรียนให้จบไวไว ณีเองก็คิดถึงคุณย่ามากที่สุดเหมือนกัน แล้วเจอกันตอนปิดเทอมนะคะ”
       “ครับ”
       อาทิจยิ้มให้ดรุณีอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป ดรุณีหันกลับมาเจอตุลยานี วิ่งรี่เข้ามาหาหญิงสาวจากอีกด้าน ด้วยท่าทางตื่นนเต้นมก
       “ยายณี! เมื่อกี้ฉันเจอใครรู้มั้ย”
       “ใคร”
       “ผู้ชาย หล่อม๊ากกกก น่ารักม๊ากกกก ยิ้มทีงี้ใจละลาย”
       “หนุ่มคณะไหน ทุกทีไม่เคยเห็นปิ๊งใครเลยนี่”
       “คนนี้เรียกว่าตกหลุมรักเลยล่ะ”
       “หนุ่มคณะไหนน๊อ ทำให้เพื่อนณีเป็นแบบนี้ได้”
       “เป็นใคร ชื่ออะไร เรียนคณะไหนไม่รู้ จู่ๆฟ้าก็ส่งให้เรามาเจอกัน..ผู้ชายในฝัน”
       เวทางค์ขยับเข้ามายืนด้านหลังตุลยานี เวทางค์สวมทันที
       “พี่เหรอ”
       ดรุณีและตุลยานี หันไปมองเวทางค์
       “พี่เว...”
       เวทางค์ยิ้มกรึ่มเก๊กหล่อ
      
       ดรุณี เวทางค์ และตุลยานี มานั่งด้วยกันที่ร้านกาแฟหรู...
       “พี่แวะมาชวนน้องณีกับน้องตุ่นไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปิดเทอมน่ะจ้ะ ซากุระกำลังบานคุณแม่พี่ได้ตั๋วราคาถูกมา 3 ที่พอดีเลย” เวทางค์ชวน
       “ณีไปไม่ได้หรอกค่ะพี่เว ณีนัดกับพี่อาทิจไว้แล้ว” ดรุณีปฏิเสธ
       “นัด..ทำอะไร”
       “หว่านข้าวค่ะ ต้องจับมือสู้กันอีกสักตั้ง ตุ่นไปกับณีมั้ย”
       ตุลยานี ไม่ค่อยสนใจนัก
       “ดูก่อนนะว่าต้องกลับไปหาแม่รึเปล่า แต่ตอนนี้ไปก่อนล่ะ มีเรื่องต้องทำ”
       “จะไปไหน”
       ตุลยานี ตาเป็นประกาย
       “ไปสืบว่า..เขาคนนั้นชื่ออะไร เรียนคณะไหน ได้ความยังไงแล้วจะกลับมารายงานนะ”
       ตุลยานี ออกไปจากร้าน เวทางค์มองตามงงๆ
       “น้องตุ่นพูดถึงใคร...เขาคนไหน”
       “ณีก็ไม่รู้เหมือนกัน”
       เวทางค์ชวนอีก
       “ลองคิดอีกทีมั้ยเรื่องญี่ปุ่น”
       “ไม่คิดไม่เปลี่ยนใจค่ะ ณีจะกลับมาอบรมเรื่องแพ็กเก็จจิ้งด้วย เพราะฉะนั้นเวลาว่างที่เหลือแค่อาทิตย์เดียว ณีขอกลับไปปลูกข้าวดีกว่าค่ะ”
       เวทางค์พยักหน้ายิ้มแห้งๆรับคำตัดสินใจของดรุณี
      
       ยามเช้า... แสงอ่อน แต่เย็นยะเยือก ย่าแดง และทุกคนช่วยกันตัดกะหล่ำปลีท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ อาทิจเอาผ้าคลุมไหล่มาคลุมทับเสื้อหนาวให้คุณย่าอีกชั้น และนั่งทำงานเคียงกัน...
      
       หลายเดือนต่อมา...
       คนงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆเพื่อเก็บส้ม อาทิจ เกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน ช่วยกันขนลังส้มขึ้นท้ายรถกระบะ ผู้จัดการโรงงานรับสมุดเช็คยอดรับ-ส่งส้มที่ย่าแด
       เซ็นให้ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ย่าแดง แนะนำอาทิจให้รู้จักผู้จัดการโรงงาน เพื่อให้ติดต่อเรื่องานกับอาทิจต่อไป...
      
       ค่ำคืนนั้น...ที่หน้าบ้านพักคนงาน ทุกคนนั่งบ้างนอน บ้างอ่านหนังสือคนละมุม อาทิจอ่านหนังสือหลักสูตรปริญญาตรีเกี่ยวกับการบริหารจัดการ เกร็งอ่านหนังสือพระ ต๊อด อึ่ง พัน อ่านหนังสือนอกเวลาก.ศ.น. ครู่หนึ่งต๊อดวางหนังสือก.ศ.น. เปลี่ยนมาอ่าน หนังสือไฟกลางคืน อึ่ง พัน วางหนังสือก.ศ.น. แล้วขยับเข้ามาสุมหัวดูรูปผู้หญิงแก้ผ้ากับต๊อดโดยพร้อมเพรียงกัน
      
       เช้าวันใหม่
       ย่าแดงหยิบสตรอเบอรี่ในตะกร้าที่อาทิจยื่นให้ขึ้นชิม แล้วยกนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วให้หลานบอกให้รู้ว่ายอดมาก เห็นย่าหลานนั่งกินสตรอเบอรี่ไป ช่วยกันแพ็คสตรอเบอรี่ใส่กล่องไปอย่างมีความสุข
      
       ดรุณีเขียนจดหมายถึงคุณย่าที่โต๊ะทำงาน...
       ‘...ช่วงนี้หนูอาจจะไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณย่าบ่อยนัก เพราะต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบปลายภาค หนูสัญญาค่ะว่าหนูสอบเสร็จเมื่อไหร่ จะรีบขึ้นไปกราบเท้าคุณย่าทันที หนูจะกลับพร้อมพี่เวกับยายวินะคะ คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง...รักคุณย่ามากที่สุดในโลก..ดรุณี...’
      
       หลายอาทิตย์ต่อมา...
       ดรุณีก้มกราบคุณย่าที่ตัก โดยมีแก้วนั่งยิ้มแก้มปริอยู่ข้างๆ คุณย่าโอบกอดแล้วหอมแก้มดรุณี อาทิจเดินเข้ามา เห็นแค่หลังหญิงสาว ชายหนุ่มก็ใจเต้นตึกตักโครมครามขึ้นมา...
       “กลับมาเที่ยวนี้คุณณีโตเป็นสาวเต็มตัวแล้วก็สวยมากซะด้วย” แก้วชม
       ดรุณียิ้มเขิน
       “น้าแก้วก็...”
       “มารยาทก็งาม เรียบร้อยน่ารักเหลื๊อเกิน”
       ดรุณีทำเขินบิดไปมา
       “แหม..ก็หนูโตแล้วนี่คะน้าแก้ว จะให้ทำตัวแก่นกะโหลกเป็นเด็กๆเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง”
       “โตขึ้น สาวขึ้น สวยขึ้น น่ารักขึ้น ว่ามั้ยคะคุณอาทิจ”
       ดรุณีหุบยิ้ม ยืดหลังตรงเหมือนดามเหล็กเอาไว้ทันที
       “ยังไม่เห็นหน้าเลยครับน้าแก้ว”
       ดรุณีหันมาหาอาทิจ
       “พี่อาทิจนี่”
       “น่ารักครับ”
       คุณย่าอมยิ้ม...รู้สึกว่าหนุ่มน้อย กับสาวน้อยคู่นี้น่าเอ็นดูซะจริงๆ ดรุณีเขินเลยแกล้งหันมาพูดกลบเกลื่อนกับคุณย่า
       “เที่ยวนี้หนูอยู่ได้อาทิตย์เดียวนะคะคุณย่า หนูลงเรียนซัมเมอร์ไว้ อยากจบเร็วๆน่ะค่ะ”
       “มาให้ย่าเห็นแค่นี้ ย่าก็ชื่นใจแล้ว พ่ออาทิจมานี่มีอะไรรึเปล่า”
       “ผมมาเรียนคุณย่าว่า พรุ่งนี้ผมจะตกกล้าข้าวแล้วครับ”
       “ปีๆหนึ่งมันผ่านไปเร็วจริงๆ”
       “ที่หนูแวบขึ้นมานี่ก็เพราะจะมาช่วยพี่อาทิจตกกล้านี่ล่ะค่ะ”ดรุณีบอกสีหน้ายิ้มแย้ม
       “ดีแล้วลูก เอ้า..ถ้าอย่างนั้นก็ตามย่ามานี่ทั้งคู่เลย ย่ามีอะไรจะให้”
       ย่าแดงลุกขึ้นเดิน นำดรุณีและอาทิจไปที่ห้องนอน
       ย่าแดงยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว แล้วเอื้อมหยิบกล่องกระดาษเล็กๆ ซึ่งเก็บไว้บนหิ้งไม้สำหรับวางแจกันดอกพุด เหนือหิ้งขึ้นไปคือภาพพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ย่าแดงถือกล่องกระดาษลงนั่งที่เตียง แล้วเปิดกล่อง..หยิบถุงผ้าเล็กๆ ก่อนจะเทสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าออกมา
       สิ่งที่ย่าแดงเทออกมาคือ เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีอยู่ 30-40 เมล็ดในอุ้งมือ ย่าแดงมองเมล็ดข้าวในมือ แล้วย้อนรำลึกความหลังด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื้นตัน
       “เมล็ดพันธุ์ข้าว ย่าได้มาจากท้องสนามหลวงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในหลวงท่านเสด็จในพระราชพิธีพืชมงคล พระองค์ท่านพระราชทานพันธุ์ข้าวให้เกษตรกรนำไปปลูก ผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศ ย่าก็เป็นหนึ่งในนั้น ต่างคนต่างอยากได้พันธุ์ข้าวจากพระองค์ท่านไปเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทุกคนวิ่งเก็บกันด้วยความปลื้มปิติ ใครที่เก็บไม่ทัน เราก็แบ่งปันกันไป สมัยนั้นคนไทยเราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจต่อกัน ไม่เหมือนอย่างสมัยนี้ พ่อเอาไปหว่านเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองกับที่นาของเรานะพ่อนะ”
       คุณย่าเทเมล็ดข้าวกลับใส่ถุงแล้วส่งให้ อาทิจไหว้ แล้วรับถุงข้าวมายกขึ้นไหว้เหนือหัว โดยมีดรุณียกมือไหว้ตาม
       อาทิจและดรุณีมองถุงข้าวที่อยู่ในมือ ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจไม่แพ้คุณย่า..สำหรับหนุ่มสาวซึ่งเป็นตัวแทนคนรุ่น ใหม่สองคนนี้...สิ่งที่อยู่ในมือซึ่งคุณย่ามอบให้ มีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองมากมายนักเพราะนี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ได้จากคน ที่มีคุณค่า และมาจากบุคคลซึ่งทำงานหนักจนอยู่เหนือคำว่า มีคุณค่า
       พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นปูชนียบุคคลของแผ่นดิน
       สามวันต่อมา...ย่าแดงมองเมล็ดข้าวซึ่งผ่านการแช่น้ำและคลุมกระสอบเปียกจนรากงอกออกมาในกระบุง
       “งามดีจริง เอาลงหว่านเถอะจ้ะ”
       อาทิจและดรุณีนำทีมทุกคนช่วยกันหว่านข้าว โดยมีแก้วประคองคุณย่ายืนดูอยู่ไม่ไกล อาทิจและดรุณีหว่านข้าวผ่านหน้าย่า ย่าแดงมองหลานทั้งสอง และเมล็ดข้าวที่ถูกโปรยจากมือของทั้งคู่ร่วงจากฟ้าลงสู่ดิน หญิงชรายิ้มปลื้มใจน้ำตาคลอ
      
       บ่ายนั้น แก้วประคองย่าแดงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ คุณย่าถอดหมวกออกกระพือลม อย่างเหนื่อยๆ แก้วเดินฉีกออกไปทางครัว ก่อนจะกลับมาพร้อมถ้วยยาหอมในมือ
       “รับยาหอมสักนิดนะคะคุณย่า”
       อาทิจกับดรุณีเดินตามเข้ามา ขณะที่แก้วลงนั่งบีบนวดขาให้ย่าแดง ดรุณีมองอย่าอย่างเป็นห่วง
       “คุณย่าไม่สบายหรือคะ”
       ย่าแดงจิบยาหอม
       “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกลูก แค่เหนื่อยง่ายตามประสาคนแก่น่ะ”
       “เดี๋ยวผมจะไปดูกะหล่ำปลีกับสตรอเบอรี่นะครับคุณย่า”
       “ณีไปช่วยนะคะ”
       “ตาเกร็งเอารถเข้าเมืองไปแล้วมั้ง เอารถย่าไปก็ได้”
       อาทิจรีบบอก
       “ถีบจักรยานไปดีกว่าครับ”
       ดรุณีขัดขึ้น
       “ไปถึงไร่สตรอเบอรี่เหรอคะ กว่าจะถึงได้ค่ำกันพอดี”
       “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เดี๋ยวพี่พาไปทางลัด ตอนนี้กำลังสวยเชียว”
       ดรุณีหันมามองหน้าอาทิจแปลกใจ ทางลัดสวยๆคือทางไหน
ขอขอบคุณจาก manager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ