อ่านละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง 2012 ตอนที่ 1 วันที่ 21 มิ.ย. 55

{[['']]}
พูนทรัพย์รามือจากขนม เงยหน้าขึ้นมามองประวิทย์อย่างแปลกใจและหนักใจ นิตยากับภาณีทำหน้างงๆไม่ต่างจากอาทิจ ประวิทย์มีแววขื่นขมปนสำนึกผิดอยู่ในแววตา ดรุณีอ่านจดหมายให้ย่าแดงฟัง โดยมีแก้วนั่งเช็ดข้าวของอยู่ไม่ไกล แต่เงี่ยหูฟังตลอด “...สุดท้ายนี้ผมกราบขอโทษ ในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่าคุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟังข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์” ดรุณีครุ่นคิด “ประวิทย์...ประวิทย์ไหนคะคุณย่า ทำไมหนูไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึงคุณเอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลยคะ” ย่าแดงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินถอนใจ “เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ แต่เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นล่ะ” แก้วโพล่งขึ้นมาทันที “อ๋อ...คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่มั้ยคะ” “ก็ในเมื่อเขาหนีไป แล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ” ดรุณีมองย่า “คุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือคะ” “ใช่...ตอนนั้นย่าทั้งแค้นใจทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดขาดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี” ดรุณีนั่งทำตาปริบๆ นานๆ ทีจะเห็นย่าหน้านิ่งเสียงแข็งแบบนี้ วันต่อมา...ในขณะที่อาทิจยืนรีดเสื้อข้าราชการให้พ่อ ส่วนพ่อนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ที่โต๊ะอาหาร สองพ่อลูกคุยกันเรื่องย่าแดง “ที่พ่อไม่เคยเอ่ยถึงคุณย่าให้ลูกๆ ได้ยิน ก็เพราะพ่อละอายใจ ตอนนั้นพ่อเรียนหนัก แถมต้องทำงานในไร่ มันเหนื่อยเกินกว่าที่พ่อจะทนไหว พ่อก็เลยหนีมาเรียนอย่างเดียว จนกระทั่งแต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไปกราบขอโทษท่าน ก็เพราะละอายใจในความเลวที่ก่อไว้นี่ล่ะ” อาทิจถอนหายใจ “คุณย่าตัดเป็นตัดตายกับคุณพ่อขนาดนั้น ผมคงหมดหวัง ท่านคงไม่ให้อภัยและรับผมไว้ทำงานแน่ๆ พรุ่งนี้ผมคงต้องออกไปหางานอื่นทำแล้วล่ะครับ” “เอาน่า...ใจเย็นๆ นี่มันเพิ่งผ่านไปแค่สี่ห้าวันเอง จดหมายอาจจะยังไม่ถึงมือคุณย่า” “หรือไม่ก็อาจจะ...ถูกขยำทิ้งถังขยะไปแล้วก็ได้” “ไม่หรอก พ่อมั่นใจว่าคุณสมบัติและความตั้งใจจริงของลูกจะทำให้คุณย่าเปลี่ยนใจ คุณย่าเป็นคนที่รักผืนแผ่นดินมาก คุณย่าย่อมจะต้องรักคนที่รู้จักและรักที่จะทำกินบนผืนแผ่นดินด้วย เชื่อพ่อสิ พ่อรู้จักนิสัยข้อนี้ของคุณย่าดี” ทันใดนั้นเสียงเด็กๆร้องเฮลั่นที่หน้าบ้าน ภาณีวิ่งหน้าตาตื่นเต้นเข้ามาตะโกนเรียก “พี่อาทิจ...ไปรษณีย์มา...เร้ว” อาทิจรีบดึงปลั๊กไฟ แล้ววิ่งหน้าเริ่ดออกไปพร้อมกับประวิทย์ที่วางช้อนลงแทบจะในทันที ไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน พูนทรัพย์อุ้มลูกชายคนเล็กวิ่งนำเด็กๆทุกคนไปที่ประตูหน้าบ้าน เด็กๆตะโกน “จดหมายมาแล้ว” ภาณีกับอาทิจและประวิทย์วิ่งตามมาสบทบ ประวิทย์กอดไหล่อาทิจ แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่น “นั่นไง...พ่อบอกแล้วว่าพ่อรู้ใจคุณย่า” พูนทรัพย์ถามไปรษณีย์ “กี่ฉบับจ๊ะ” “ฉบับเดียวจ้า” ไปรษณีย์ยื่นซองให้ “ไปล่ะนะ” ประวิทย์ อาทิจและเด็กๆทุกคนกรูกันเข้ามาหาพูนทรัพย์...ลุ้นสุดชีวิต อาทิจตื่นเต้น “จดหมายคุณย่าใช่มั้ย เปิดอ่านเลยแม่...อ่านเลย” พูนทรัพย์เห็นซองที่อยู่ในมือแล้วหน้าเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะหันมาบอกกับทุกคน “ไม่ใช่หรอกจ้ะพ่อ บิลค่าน้ำน่ะ” บรรยากาศกร่อยสนิท อาทิจจ๋อยไปเลย ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ดรุณีนั่งเขียนจดหมายตามคำบอกของย่าอย่างเซ็งๆ “ถามเจ้าอาทิจดูว่า ถ้าต้องมาทำงานกับย่าโดยไม่มีเงินเดือนเลย เขายังจะอยากมาอยู่มั้ย...” ดรุณียิ้มอารมณ์ดี “หนูตอบแทนได้เลยค่ะคุณย่าว่า นายนั่นต้องไม่มาแน่ๆ” “เขียนต่อแม่ณี...แม่จะเลี้ยงเจ้าอาทิจเหมือนที่เลี้ยงลูกทุกคนคือไม่มีเงินเดือนให้ แต่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องสาว 2 คน เป็นการตอบแทนการทำงาน ถ้าเขาเต็มใจและตกลงตามนี้ ก็ส่งตัวเขามา” ดรุณีแอบขำ “หนูว่าจะเสียเวลาเปล่านะคะคุณย่า นายคนนี้...อย่างมากก็อายุแก่กว่าหนูไม่กี่ปี เขาก็น่าจะมีแฟนแล้ว คนหนุ่มเขาก็คงอยากจะเก็บเงินไว้แต่งงานไว้สร้างครอบครัวด้วย ถ้าคุณย่าไม่ให้เงินเดือน เขาต้องไม่มาแน่ๆ...ล้านเปอร์เซ็นต์” ย่าแดงถอนใจ “นั่นไง...ตั้งป้อมอิจฉาเขาซะแล้ว” “โธ่...คุณย่าขา หนูจะไปอิจฉาเขาทำไม หลานคุณย่ามาอยู่นี่ตั้งกี่สิบคนแล้ว หนูเห็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น อยู่ไม่ทนสักราย รายนี้ก็คงเหมือนกัน” “ก็ในเมื่อย่าให้โอกาสหลานคนอื่นได้ ทำไมหลานคนนี้ย่าจะให้โอกาสบ้างไม่ได้” “หนูพูดเพราะหนูหวังดีนะคะคุณย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะปวดหัวเหมือนที่แล้วๆมาน่ะค่ะ ขนาดได้เงินเดือนยังอยู่กันไม่ทนเลย นับประสาอะไรกับคนไม่ได้เงินเดือน เลิกเขียนดีกว่าค่ะ เขียนไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ หนูว่าเขาไม่มาหรอก” ดรุณีวางปากกาในมือลง อย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง “นั่นสินะ ขนาดพ่อเขายังเกี่ยงงานในไร่ในสวนว่ามันหนักมันเหนื่อย แล้วลูกจะทนได้สักแค่ไหน ลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นได้ยังไง” ย่าแดงมองออกไปไกลแล้วถอนใจอย่างครุ่นคิด 4 วันต่อมา...ประวิทย์เดินกลับเข้าบ้าน พูนทรัพย์อุ้มณเดชน์ ยืนกำกับลูกคนอื่นๆให้ช่วยกันเอาผักที่เพราะเป็นกล้าไว้ลงดิน อาทิจแต่งตัวเรียบร้อยสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากตัวบ้าน เจอประวิทย์เข้าพอดี “จะไปไหนล่ะลูก” “ไปสมัครงานครับคุณพ่อ” ไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดที่หน้าบ้านแล้วตะโกนเรียก “รับจดหมายด้วยคร้าบ” ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กๆแข่งกันตะโกน “จดหมายคุณย่าๆๆ” พูนทรัพย์อุ้มณเดชน์จ้ำพรวดเดียวไปถึงหน้าบ้าน ไปรษณีย์ยื่นจดหมายให้แล้วขี่รถออกไป ทุกคนกรูเข้าไปหาพูนทรัพย์ลุ้นๆ พูนทรัพย์หันมา “ไม่ใช่หรอกจ้ะ บิลค่าไฟน่ะ” อาทิจ ประวิทย์และทุกคนยืนอึ้ง สักครู่...ไปรษณีย์วกรถกลับมาที่หน้าบ้านแล้วบีบแตรแป๊นๆๆเรียกอีกครั้ง “ลืมไป...มีอีกฉบับจ้า” ประวิทย์เดินออกไปรับจดหมายอย่างหงอยๆ อาทิจยืนมึนตึบอยู่กับที่ พูนทรัพย์เอามือแตะบ่าสงสารลูกจับใจ ลูกๆคนอื่นพากันเดินคอตกไปทำงานต่อ “บิลค่าอะไรอีกล่ะพ่อ” พูนทรัพย์ถาม ประวิทย์ตาลุกวาวพูดเสียงสั่น “ไม่ใช่บิลแม่...นี่มัน...มัน...จดหมายคุณย่า” ทุกคนชะงักกึกวิ่งกลับมาหาประวิทย์แล้วเฮลั่น ประสานเสียงแข็งกัน “เย้ๆๆ...จดหมายคุณย่าๆๆๆ” อาทิจปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ชายหนุ่มหัวใจเต้นตึกตัก สงสัยว่าย่าจะรับเข้าทำงานมั้ย อาทิจเป็นคนอ่านจดหมายให้พ่อกับแม่และน้องๆทุกคนที่นั่งฟังกันสลอน ทุกคนหน้าตาจริงจังและฟังอย่างใจจดใจจ่อมาก “...ขอให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า เงินของฉันได้มาแสนยากจากแผ่นดิน ทั้งสิ้นการจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จึงต้องมีเหตุผล ถ้าเจ้าอาทิจต้องการมาทำงานกับฉัน ก็ขอให้ส่งค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของน้องสาวทั้งสองคนมาด้วย เพราะจากนี้ไป เจ้าอาทิจต้องทำงานเพื่อแลกกับการศึกษาของน้อง ถ้าเข้าใจและรับได้ตามนี้ก็เดินทางมาทำงานที่นี่ได้เลย บอกเขาว่าย่าของเขาจะคอยเขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน...หวังว่าแกและเมียรวมทั้งลูกๆทุกคนคงสบายดี...แม่” อาทิจเงยหน้าขึ้นมามองพ่อ “สำนวนคุณย่าแข็งปั๋งอย่างกับก้อนหินเลยนะครับ สงสัยท่านจะดุไม่ใช่เล่น” “ดุแต่ไม่พร่ำเพรื่อ ท่านเป็นผู้หญิงเข้มแข็งมากกว่า การทำงานในไร่ในสวนมันต้องอดทน ถ้ากระดูกไม่แข็งไม่แน่จริงล่ะก็ คุมคนงานผู้ชายเป็นร้อยไม่ได้หรอก” “ลูกก็ตั้งยี่สิบคนนะคะ เลี้ยงลูกไปทำงานไปได้ขนาดนี้ ฉันล่ะนับถือจริงๆ” พูนทรัพย์พูดอย่างชื่นชม น้องผู้ชายเป็นห่วงอาทิจ “พี่อาทิจจะโดนไม้เรียวฟาดเอาๆรึเปล่า เวลาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคุณย่าน่ะ” ประวิทย์พยักหน้า “อาจจะโดนหนักกว่านั้นก็ได้ เป็นไง...อาทิจ ได้ยินอย่างนี้แล้วจะสู้หรือจะถอย” อาทิจทำขรึม “ก็คงต้องถอยครับ” ประวิทย์กับพูนทรัพย์และน้องๆทุกคนไหล่เหี่ยว แต่ก็เข้าใจ อาทิจแอบยิ้ม “ถอยมายืนให้เต็มสองเท้าแล้วใส่เกียร์เดินหน้าแบบ สู้ไม่ถอย ผมจะสู้เพื่อพวกเราทุกคนครับ” ประวิทย์ยิ้มร่า พูนทรัพย์ชื่นใจ นิตยากับภาณีกระโดดกอดกันกลมมีคนส่งเรียนแล้ว น้องๆคนอื่นๆก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นพลอยดีใจไปด้วย ประวิทย์ดีใจมาก “อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อย พวกเราไปเก็บไข่มาต้มพะโล้เลี้ยงส่งพี่อาทิจกันลูก” “แม่จะผัดผัก แล้วก็ตำน้ำพริกให้นะ” ทุกคนกรูกันออกไปอย่างเริงร่า อาทิจก้มมองจดหมายคุณย่าที่อยู่ในมือ แล้วค่อยๆดึงขึ้นมาแนบที่ใจด้วยความซาบซึ้ง “คุณย่าของอาทิจ” อาทิจยิ้มชื่นมื่น ชายหนุ่มอยากจะตะโกนขอบคุณย่าให้ก้องฟ้า เขาอยากจะให้ย่ารู้ว่า โอกาสความหวัง รวมทั้งอนาคตที่ย่าหยิบยื่นให้ มีความหมายต่อเขาและน้องๆเพียงใด วันต่อมา...รถประจำทางสีส้มซึ่งเขียนข้างรถว่า กรุงเทพ-เชียงใหม่-ฝาง แล่นเข้ามาจอดที่ตลาดใกล้สถานีขนส่งในอำเภอ ผู้โดยสารทยอยเดินลงจากรถ อาทิจสะพายเป้ก้าวลงมาจากรถตามหลังผู้โดยสารคนอื่นๆ เจ้าของรถสองแถวที่จอดรออยู่ตะโกนเรียกผู้โดยสาร “ท่าตอน แม่จันครับ...ท่าตอน แม่จัน” เจ้าของรถรี่เข้าไปหาอาทิจ “น้องจะไปไหน” อาทิจอึ้ง จะบอกว่ายังไงดี เพราะไม่รู้ว่าสวนย่าชื่ออะไร “เอ่อ...คือ ผมจะไป...ไปสวนคุณย่าน่ะครับ” เจ้าของรถสองแถวคว้ามืออาทิจหมับ แล้วเดินจูงมาทันที “มารถพี่เลย รถพี่ผ่านสวนคุณย่าพอดี” “พี่ชายรู้จักสวนคุณย่าด้วยหรือครับ คือ...ผมไม่รู้น่ะครับว่าสวนคุณย่า...เอ่อ...ชื่ออะไร” “โอ๊ย...จะชื่ออะไรไม่สำคัญหรอก เพราะถ้าบอกว่าสวนคุณย่าล่ะก็ มีอยู่ที่เดียวเท่านั้น ใครๆก็รู้จัก ใครไม่รู้จักไม่ใช่คนเมืองนี้” เจ้าของรถชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “เห็นรถสองแถวนั่นมั้ย น้องไปรอที่รถพี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปหาผู้โดยสารเพิ่มสักสาม-สี่คนก็ออกได้แล้ว” เจ้าของรถชี้ชวนเสร็จก็เดินกลับไปที่สถานีอีกครั้ง อาทิจมองซ้ายมองขวาก่อนจะข้ามถนน ชายหนุ่มเห็นปลอดรถจึงเดินข้ามมาจนกระทั่งถึงจุดกึ่งกลางถนน แล้วเขาก็แทบช็อกเมื่อจู่ๆ รถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวโค้งแล้วพุ่งตรงมาที่เขาเร็วราวกับพายุที่สำคัญไม่มีทีท่าว่าจะชะลอหรือเหยียบเบรก อึ่งกับพัน ซึ่งยืนอยู่บนกระบะด้านหลังรถ แหกปากตะโกนแข่งกันลั่น “คะ...คะ...คะ...คน” “บะ...บะ...บะ...เบรค” รถกะบะพุ่งมาอาทิจตาเหลือก อ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีด ดรุณีซึ่งกำลังขับรถโดยมีแก้วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเบิกตาโพลงช็อก รถพุ่งมาเกือบจะชนอาทิจอยู่รอมร่อ ขาดอยู่แค่กระเบียดนิ้ว อาทิจกระโดดหลบแล้วเซล้มกระแทกพื้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นร้องวี๊ดว้าย รถกระบะของดรุณีแล่นผ่านอาทิจไปเฉียดฉิวแล้วเบรคเอี๊ยด อึ่งกับพัน ไม่ทันระวังตัว แรงเบรกทำให้ทั้งคู่พุ่งมากระแทกตัวรถแล้วกระเด็นกลับไปที่หลังรถพร้อมกัน แถมยังหันมาเอาหัวโขกกันอีกต่างหากทั้งคู่เจ็บตัวร้องโอดโอย ดรุณีเปิดประตูรถด้านคนขับออกมา ตามด้วยแก้วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดรุณีหันไปมองแก้วอย่างรนๆประมาณทำยังไงดี “น้าแก้ว” “น้าแก้วเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าขับเร็ว...อย่าขับเร็ว แล้วเป็นยังไงล่ะ ให้ตาเกร็งมาขับให้ก็ไม่ฟัง โอ๊ย...ตายรึเปล่าก็ไม่รู้” อาทิจซึ่งนอนหันหลังให้ ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างมึนจัด อึ่งรีบบอก “ยังไม่ตายครับน้าแก้ว” “รีบไปดูสิวะ” แก้ววิ่งนำอึ่งกับพันซึ่งกระโดดลงจากรถแล้วตามหลังไปอย่างตุปัดตุเป๋ เพราะเคล็ดยอกจากการกระแทก ดรุณีเดินตามหลังมาช้าๆ หน้าตาบ่งว่าสำนึกผิด แก้ว อึ่ง พัน วิ่งมาล้อมด้านหน้าอาทิจ แก้วรีบถามอย่างเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้างคะคุณ เจ็บมากมั้ย ไปโรงพยาบาลมั้ยคะ” อาทิจยังมึนอยู่ “ไม่เป็นไรครับ...แขนกับศอกถลอกนิดหน่อย” “น้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไหน...ลองลุกขึ้นดูสิคะ ยืนไหวมั้ย มา...น้าแก้วช่วย” “ไม่เป็นไรครับ ผมลุกเองได้” อาทิจพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน ในขณะที่ดรุณียืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มยืนได้เต็มเท้าเพียงแค่ครู่เดียวก็เซไปทางด้านหลังล้มทับดรุณี ทั้งคู่ล้มลงไปกองทับกันที่พื้น แบบซ้อนทับกัน อาทิจตกใจหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างหลังทำให้ จมูกของเขาหันมาโดนแก้มดรุณี ทั้งคู่จ้องมองกันอยู่ครู่เดียวแล้วเบิกตาโพลงต่างคนต่างจำกันได้แม่นยำ ดรุณีผละออกมาจากอาทิจทันที “นาย!” แก้วรีบเข้ามาบอก “คุณณีขอโทษคุณเขาสิคะ คือ...คุณณีเธอเพิ่งหัดขับรถน่ะค่ะ สิคะ...คุณณี” ดรุณีหน้าเข้ม “เรื่องอะไรหนูจะขอโทษ นายนี่ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนข้ามถนนนี่ก็คงไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเคย แล้วไอ้เรื่องชอบลวนลามลามกนี่ก็ด้วย ขนาดโดนรถชนขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแต๊ะอั๋งผู้หญิงอีก” อาทิจเซ็งเลย “อะไรกัน คุณนั่นแหละที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าผมไม่กระโดดหลบ คุณก็คงชนผมเต็มๆเข้าไปแล้ว” อึ่งกับพันพูดพร้อมกัน “จริงด้วยครับคุณณี” “อีกอย่างผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าผมคิดจะลวนลามคุณจริงๆ ผมล้มทับคุณซึ่งๆหน้าเลยไม่ดีเหรอ” อึ่งกับพันพยักหน้าพูดพร้อมกันอีก “มีเหตุผลนะครับคุณณี” “คุณขับรถชนผม แทนที่จะขอโทษ กลับมาโยนความผิดให้ผมอีก ทำอย่างนี้มันถูกหรือครับ” แก้ว อึ่ง พันเผลอพูดพร้อมกัน “นั่นสิครับ/คะ คุณณี” ดรุณีมองหน้าทั้งสามขู่เสียงเข้ม “น้าแก้ว นายอึ่ง นายพัน” เจ้าของรถสองแถวเดินพาผู้โดยสารอีกคน ที่พามาจากสถานีเดินเข้ามา “อ้าว...คุณณี น้าแก้ว สวัสดีครับ” เจ้าของรถสองแถวหันไปหาอาทิจ “แหม...โชคดีจังเลยน้อง คุณณีเอารถที่สวนคุณย่ามาพอดี เดี๋ยวน้องอาศัยไปกับคุณณีก็แล้วกันนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ...ฝากน้องเขาไปด้วยคนนะครับคุณณี เขาจะเข้าไปที่สวนคุณย่าน่ะครับ” เจ้าของรถสองแถวยิ้มแย้มบอกอาทิจ “คนที่สวนคุณย่าใจดีทุกคนแหละ พี่ไปล่ะนะ” เจ้าของรถสองแถวยกมือไหว้แก้ว “ผมลานะครับน้าแก้ว...คุณณี” เจ้าของรถสองแถวเดินออกไปพร้อมผู้โดยสาร อาทิจหันมามองหน้าดรุณี หญิงสาวเชิดใส่ ดรุณีขยับรถเข้าจอดรถมุมหนึ่งในตลาด เธอปลดกุญแจรถพร้อมกับดึงกระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อมาถือไว้ในมือ ก่อนจะปิดประตูรถแล้วหันมาถามอาทิจ ซึ่งขยับเดินเข้ามาพร้อมกับทุกคน “จะไปหาใครที่สวนคุณย่า” อาทิจ ตอบแบบกวนนิดๆ “ไปหาคุณย่า” “มีธุระอะไร” อาทิจหน้าเรียบๆนิ่งๆ “ธุระส่วนตัว” ดรุณีหน้าร้อนผ่าวที่โดนอาทิจตอกกลับแบบนิ่มๆ เลยไปลงกับอึ่ง พัน และแก้ว “เอ้า...อึ่ง พัน จะยืนอยู่ทำไม รีบเอาตะกร้า เอารถเข็นลงมาสิ เดี๋ยวตลาดก็วายหมดหรอก แล้ว...ไหนล่ะรายการน้าแก้ว ยาวเป็นหางว่าวเลยไม่ใช่เหรอ น้าแก้ว เอาไว้ไหน” “ก็อยู่ในมือคุณณีไงคะ” ดรุณีหน้าแตก แต่ทำเป็นเร่งคนนั้นคนนี้กลบเกลื่อน “ถ้างั้นก็รีบไป” “ผมรอที่นี่นะ คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว” “ก็ตามใจ อยากจะรอตรงไหนก็เรื่องของนาย” ดรุณีเดินออกไปแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์นึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมา “ตรงนี้แดดมันร้อน ฉันว่านายไปรอที่ร้านฝั่งโน้นก่อนดีกว่า” แก้วเห็นดีด้วย “จริงด้วยค่ะ เดี๋ยวซื้อของเสร็จ น้าจะให้เจ้าพันไปตามนะคะ” ดรุณีหันไปดุทุกคน “เอ้า...เร็วๆเข้าสิน้าแก้ว...อึ่ง พัน เร้ว” แก้วรีบเดินออกไปพร้อมกับอึ่งพันที่ลากตะกร้าและรถเข็นตามออกไป อาทิจจะขยับออก แต่แล้วชายหนุ่มก็เหลือบเห็นกุญแจรถของดรุณีตกอยู่ที่พื้น เขาขยับเข้าไปเก็บกุญแจแล้วจะเรียกดรุณี แต่ทุกคนก็อันตรธานไปจากตรงนั้นแล้ว อาทิจมองกุญแจในมือ ก่อนจะตัดสินใจถือเดินออกไป อาทิจเดินสะพายกระเป๋าเข้ามาหาที่นั่งในร้านอาหารตามสั่ง เจ้าของร้านเดินรี่เข้ามาหน้าตายิ้มแย้ม “รับอะไรดีครับ ข้าวกระเพราไก่ กุ้ง หมู ทะเลหรือว่า ข้าวผัดพริกแกง ข้าวหมูทอด ข้าวผัดปู อาหารตามสั่งของเราอร่อยทุกอย่างครับ” “ผมขอน้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว” เจ้าของร้านชักสีหน้าอุตส่าห์ร่ายรายการซะยืดยาว ดันสั่งน้ำแข็งเปล่าแค่แก้วเดียว อาทิจควักห่อใบตองออกมา 2 ห่อ ห่อแรกที่ใหญ่หน่อยคือห่อข้าวเหนียว ส่วนอีกห่อคือเนื้อย่างแดดเดียว ดรุณีเข้ามาพร้อมกับแก้ว อึ่ง พันที่ถนนฝั่งตรงข้าม หญิงสาวชะเง้อมองอาทิจก่อนจะหันไปสั่งทุกคน “เดี๋ยวเอาของพวกนี้ไปเก็บที่รถก่อนนะอึ่ง พัน แล้วตามไปเอาข้าวสารที่ร้านเจ๊เล็ก” อึ่งกับพันรับคำพร้อมกัน “ครับคุณณี” อึ่งกับพันเดินเข็นของกลับไปที่รถ ดรุณีหันไปสั่งแก้ว “น้าแก้วแยกไปซื้อพวกของแห้งนะคะ หนูจะไปซื้อพวกเนื้อสัตว์เอง” “แยกกันซื้ออย่างนี้เร็วดีนะคะ คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนานด้วย” ดรุณียิ้มเจ้าเล่ห์ “เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” ดรุณีมองอาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเขาช้าแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงมั้ยคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว” ดรุณีเดินลัลลาออกไป แก้วมองตามหลังก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไปอีกทาง ทันทีที่ดรุณีกับแก้วเดินไป หญิงจรจัดคนหนึ่งก็อุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน อาทิจซึ่งกำลังปั้นข้าวและหยิบเนื้อย่างกินก็ชะงัก มอง “ขอข้าวฉันสักจานเถอะจ้ะ ตั้งแต่เช้า...ไอ้หนูมันยังไม่ได้กินอะไรเลย” เจ้าของร้านตวาดไล่ “ป...ออกไปเลย ค้างค่าข้าวไว้ตั้งเป็นร้อยแล้ว ยังจะมีหน้ามาขอเขากินฟรีอีก” “คิดเงินก็ได้จ้ะ นึกว่าสงสารไอ้หนูมันเถอะนะ...ข้าวเปล่าๆก็ได้ ฉันไหว้ล่ะ” “ลื้อก็พูดยังนี้ทุกที ให้เก็บตังค์แล้วอั๊วจะไปเก็บกับใคร ไป...ออกไป...ยืนเกะกะอยู่ได้” เจ้าของร้านดันแม่ลูกออกไป อาทิจกินไม่ลง ลุกขึ้นมาหาหญิงจรจัด “เดี๋ยวครับพี่...มากินกับผมก็ได้” “นั่งร้านอั๊วฟรีๆไม่ได้นะ” “ถ้างั้นก็ขอน้ำแข็งเปล่าให้พี่เขาแก้วนึง แล้วก็เอานมเย็นให้เด็ก เดี๋ยวผมจ่ายเอง” อาทิจพาหญิงจรจัดและเด็กน้อยไปนั่งที่โต๊ะ “กินเลยครับพี่ ไม่ต้องเกรงใจ” หญิงจรจัดยกมือไหว้ปลกๆ “ขอให้จำเริญๆนะพ่อคุณ ไปอยู่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักคนเมตตานะพ่อนะ” อาทิจยิ้มให้หญิงจรจัดและมองเธอป้อนข้าวให้ลูกที่กินอย่างหิวโหย จนลืมความหิวโหยของตัวเอง ดรุณีกับแก้วช่วยกันยกเข่งผักและของแห้งให้อึ่งกับพันซึ่งคอยรับอยู่บนกระบะ ดรุณียิ้มแฉ่ง “เรียบร้อยแล้ว ไปกันได้” หญิงสาวจะเดินไปยังที่นั่งคนขับ แก้วยื้อมือไว้ “มันจะดีหรือคะคุณณี คนเขาจะนินทาเอานะคะว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ” อึ่งกับพันพูดพร้อมกัน “นั่นสิครับ” “น้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจกับเราก่อนเท่านั้นค่ะ” อาทิจโผล่เข้ามากลางวง “แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้ แล้วนำมาคืนให้เจ้าของโดยไม่เชิดรถหนีไปซะก่อน อย่างนี้...เขาเรียกว่ามีน้ำใจมั้ยครับ” ดรุณีตบกระเป๋า ทั้งล้วงทั้งควักหากุญแจรถแต่หาไม่เจอ อาทิจหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วแกว่งใส่ตรงหน้าหญิงสาว ดรุณีคว้ากุญแจมาจากมืออาทิจอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อผมมีน้ำใจให้คุณ คุณก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก จริงมั้ยครับ” อาทิจกระโดดขึ้นไปนั่งบนกระบะ ตรงข้ามอึ่งกับพันอย่างสบายใจ โดยไม่สนใจว่าดรุณีจะอนุญาตหรือไม่ ดรุณีสะบัดหน้าพรืดกลับไปยังที่นั่งคนขับ ก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังและกระชากรถออกไปอย่างแรง...คนที่ท้ายกระบะโดนเหวี่ยงหน้าทิ่มไปข้างหน้าและกระดอนกลับมาข้างหลังโดยพร้อมเพรียงกัน source: manager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ