อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 15/4 วันที่ 10 พ.ค. 55

{[['']]}
อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 15/4 วันที่ 10 พ.ค. 55
“มันยังไม่ใช่เวลา แม่อย่าเพิ่งบอกเขาว่าฉันเป็นแม่ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้นอกจากเราสามคน”
“กูไม่เข้าใจเลยจริงๆ” สมใจพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ด้วยอารมณ์คับแค้นใจ “กูแก่แล้ว กูไม่เข้าใจทำไมแม่มัน ไม่เสียสละให้ลูกวะ...กูอยากจะตายไม่อยากรู้อยากเห็นเว้ย”
“ฉันด้วย...” สมปองว่า
“นังปองมึงไม่ต้องมาพลอยพยักกะกู” สมใจหันเป็นว่าลูกสาวมาดทอม หมายถึงอย่าทำเป็นลูกขุนพลอยพยัก
สมปองเกาหัวไม่เก็ท “เป็นไง”
“อีโง่ เป็นได้แต่เสือโบกหน้าปั๊มล่ะมึงน่ะ” สมใจเอ็ดอย่างมีอารมณ์
“ก็ได้....ไม่พูดแระ”
“แกเป็นแม่สุดจิตต์ อย่าลืมว่าแกเป็นแม่” สมใจหันมา พยายามบอกให้ลูกสาวตระหนัก
“ตอนนี้ดอกโศกเป็นเลือดก้อนหนึ่งของฉัน...เป็นแค่เลือดก้อนหนึ่งเข้าใจมั้ยแม่” ปรียากมลบอก รู้สึกแค่นั้นจริงๆ กับดอกโศก
สมใจของขึ้นอีก “ไม่เข้าใจโว้ย....กูไม่เข้าใจ....ไม่เข้าใจ” สมใจตะเบ็งเสียงใส่
ปรียากมลเองก็เริ่มมีอารมณ์แล้ว “มันเป็นแค่เลือดก้อนหนึ่ง ฉันเบ่งมันออกมา...ใช่ มันเป็นลูก ชั้นเป็นแม่ แต่มันแค่นั้น...เข้าใจมั้ย มันแค่นั้น” คำท้ายประโยคปรียากมลพูดเสียงดังมาก
“แค่ไหนล่ะโว้ย...แค่ไหน มึงเป็นแม่ มึงพูดได้ไงว่าแค่นั้น มึงเป็นแม่นะอีสุดจิตต์” สมใจลุกขึ้นยืน....โกรธตัวสั่นไปหมดแล้ว
ปรียากมลพูดตอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “แค่ไหนเหรอ...แค่ที่แม่รู้สึกกับชั้นนั่นแหละ”

สมใจหยุดชะงัก
“จะเถียงมั้ยแม่ มันแค่ที่แม่รู้สึกกับชั้น นึกไม่ออกเหรอนั่งลง...บอกให้นั่งลงจะพูดให้ฟังว่าแม่ทำกับชั้นไว้แค่ไหน....ฟังให้ดีๆ”

สมใจพูดไม่ออก
ปรียากมลนึกถึงฉากชึวิตที่บ้านแม่ เมื่อเกือบ 30 ปีก่อนอย่างขื่นขม ลืมไม่ลงแม้สักฉาก

วันนั้นสมใจส่งเงินค่าขนมให้สุดจิตต์ในวัย 6 ขวบ เด็กหญิงสุดจิตต์ที่ไม่มีใครอบรม คว้าเงินไปจากมือแม่หมับ ตั้งท่าวิ่ง สมใจกำลังโม่แป้งทำขนม ตะโกนด่า
“มึงจะนึกมั่งได้มั้ยว่ากูเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้ทีละบาท ฮะ อีสุดจิตต์ หนอยพอคว้าได้วิ่งเชียวนะมึง....ไหว้ผู้ใหญ่น่ะทำเป็นมั้ย”

อีกเหตุการณ์สมใจนั่งประจันหน้ากับสุดจิตต์ที่แต่งชุดนักเรียนชั้นประถม สมใจแว้ดใส่
“ค่าอะไรนะ ค่านม...นมอะไร โตจนป่านนี้จะกินนมไปทำไมอีก”
“ครูสั่ง” สุดจิตต์บอก
“ไม่ให้ ครูสั่งให้ครูออกสิวะ” สมใจบอก
“แค่ห้าบาท” เด็กหญิงสุดจิตต์ย้อน
“บาทเดียวก็ไม่ให้ ต้องเก็บไว้ให้ปองมัน มันเป็นน้องนะมึงสุดจิตต์ ฮึ..พ่อมันมาดูดำดูดีมั้ย ไอ้พวกเศรษฐีลูกมันทั้งคน”
อีกวันหนึ่งสมใจ ตี... ตี... ตี สุดจิตต์ ซึ่งอ้าปากร้องไห้จ้าสุดเสียง
“ริขโมยรึมึง สุดจิตต์” สมใจฟาดไปด่าไป
สุดจิตต์เถียง “หนูเปล่า...หนูไม่ได้เอาไป”
“เปล่า” สมใจฟาดขวับ “นี่แน่ะเปล่า เงินกูหายไปยี่สิบ...เอามานะอีสุดจิตต์”
“หนูไม่ได้เอาไปจริงๆ นะแม่” สุดจิตต์เถียงเสียงดังมาก ออกแนวก๋ากั่น กว่าทุกครั้ง
สมใจชี้หน้าด่า “ไม่จริง อีขี้ขโมย”
“หนูเปล่า....เปล่านี่โว๊ย”
สมใจปราดเข้ามา ตี..ตี สุดจิตต์แผดเสียงร้องสุดปาก เด็กหญิงสมปองอยู่ในบ้านได้ยิน
สมใจพุ่งเข้าไปในบ้านดูสมปอง “มาแล้วสมปอง แม่มาแล้ว” เหลียวขวับมาชี้หน้าตวาดสุดจิตต์ “รู้งี้ฆ่าให้ตายตั้งแต่อยู่ในท้องซะก็ดี มึงนะมึง”


อีกวันสุดจิตต์ร้องไห้เสียงดังมาก สมใจตะคอก “โอ๊ย...ร้องไห้ทำไม”
“จะเอาตุ๊กตา...แบบนั้นน่ะ” สุดจิตต์ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปจะเอาๆ
สมใจฟาดเผียะ “แหกปากเข้าไป...ตุ๊กตามันคงลอยมาล่ะ”
สุดจิตต์ เงียบเสียง...ปาดน้ำตา สะอื้นสองสามเฮือกเอ่ยขึ้น “แม่...เงียบแล้วเอาตุ๊กตาได้มั้ย”
“ฮะ..ใครจะมีเงินซื้อให้มึง ไปเอาจากไอ้พ่อเศรษฐีของมึง...ไป๊” สมใจหงุดหงิด กระแทกโน่นกระแทกนี่ บ่นงึมงำตามประสา “มันคงให้หร๊อก เจออีคุณหญิงหน้าเนื้อใจเสือล่ะมึงเอ๊ย”

อีกวันหนึ่งสุดจิตต์โตเป็นสาวแล้ว สมใจคุยอยู่กับสมหวัง...ทีนั่งหันหลังให้สุดจิตต์
“แกจะให้มันเรียนต่อเรอะ” สมหวังถาม
“โอ๊ย แกพูดเป็นบ้าไปได้ ใครจะมีเงินให้มันเรียน”
“เอ้า...ไปขอพ่อมันสิรวยไม่ใช่เรอะ” สมหวังเหน็บ
“อย่าไปหวัง...ไปให้อีคุณหญิงมันไล่ออกมาน่ะสิ มันแค่เลือดก้อนเดียวไอ้พ่อมันไม่รักใคร่ใยดีอะไรหรอก คิดดูชั้นออกมาตั้งตะนังสุดจิตต์สองขวบ จนเท่าไหร่...สิบกว่าปีไม่เห็นของพ่อมันซักกะบาท”
สุดจิตต์นั่งซุกอยู่ข้างซอกโอ่งอาบน้ำ กัดฟันแน่น สีหน้าเคียดแค้น

อีกฉากหนึ่งที่ปรียากมล จำได้ไม่เคยลืม วันนั้น สมปอง เริ่มโตมากแล้วผมถักเปีย อายุย่าง 10 ขวบ อ่อนกว่าสุดจิตต์ ประมาณ 5 ปี และสุดจิตต์วัย 15 เริ่มโตเป็นสาว ตัดผมม้าสั้น
สองคนกำลังทะเลาะกันเรื่องกวาดบ้านถูบ้าน
“เมื่อวานชั้นทำแล้ววันนี้พี่ทำ” สมปองโยนไม้กวาดใส่สุดจิตต์
“เรื่องแน่ะนังปอง ชั้นทำทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์แล้ว” รับมาแล้วโยนกลับ
“ไม่นับ วันก่อนชั้นก็ทำเสาร์อาทิตย์เหมือนกัน” สมปองโยนกลับ
“ไม่จริง หายกันไปแล้ว” สุดจิตต์โยนไม้กวดสวนเปรี้ยงกลับไปแรงๆ ไม้กวาดไปโดนสมหวัง ที่ก้าวเข้ามาพอดี
ผิดคาด สมหวังหยิบไม้กวาด ชี้หน้าสมปอง “เฮ้ย...ทำไปนังปอง” โยนตรงหน้าปอง “นังจิตต์ไปนวดกู” เดินหายเข้าห้องข้างใน
“ไม่...ฉันไม่ทำเอาไป” สมปองโยนไม้กวาดกลับมาอีก ด้ามไม้กวาดโดนขาสุดจิตต์เต็มๆ
“แกนังปอง” สุดจิตต์ปราดเข้าไปเงื้อง่าหมายจะตบ
สมปองทำท่าสู้ไม่กลัวสักนิด
สมใจตวาดลั่น “เฮ้ย หยุด มึงทำไปนังจิตต์มึงเป็นพี่เกี่ยงน้องยังงี้ได้ไง...ฮะ เดี๋ยวเหอะจะฟาดเข้าให้หรอก...กวาดแล้วถูด้วยให้สะอาดนะมึงวันๆมีแต่เที่ยว..เที่ยว...เที่ยว งานการไม่กระดิก อีสันหลังยาว ทำไปเดี๋ยวนี้”
สุดจิตต์แย้ง “พ่อให้ไปนวด”
สมใจหันมาอย่างช้าๆ นัยน์ตาวาววับ “ไม่ต้อง...” สายตาบ่งบอกอะไรบางอย่าง “ต่อไปนี้เอ็งไม่ต้องนวดพ่ออีก”

สายตาของสุดจิตต์ ที่มองแม่รู้กันในที ในวันนั้น ดึงปรียากมลกลับมาสู่ปัจจุบัน

ใบหน้าปรียากมลในยามนี้ เป็นใบหน้าเดียวกับใบหน้าสุดจิตต์เมื่อวันวาน จ้องหน้าแม่สีหน้าหยามหยัน บอกด้วยนัยน์ตาว่ามันคืออะไร
สมใจหน้าเสีย พูดไม่ออก สมปองเองก็หน้าเสียเหมือนกัน
“ฉันออกมาจากบ้านแล้วรู้มั้ยว่าฉันต้องไปเจออะไรมั่ง”
สมใจส่ายหน้า ขณะที่สมปองหน้าไม่ดี เริ่มเห็นใจ
“แน่สิ แม่ไม่เคยสนใจไม่ตามหาด้วย”
สมปองรีบท้วง “ตาม..แม่ตาม ไปตามที่โรงเรียนครูบอกว่าพี่ลาออก มีลายเซ็นต์แม่ด้วย พี่ปลอมลายมือแม่ใช่มั้ย”
ปรียากมล ตวาด “แกไม่ต้องยุ่งอีปอง แกมันลูกรักนี่ตอนนั้น กะไอ้หมายสองคน”
“ฉันพูดจริงนะแม่ไปตาม...” สมปองยังไม่ยอมหยุด
“หยุด...พอไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
สมใจเอ่ยขึ้น “สุดจิตต์”
“แม่อย่าเรียกชั้นอีก...เมื่อกี้ครั้งสุดท้าย ฉันไม่ได้ชื่อสุดจิตต์ ชื่อนี้ฉันฝังไปแล้ว ตัวสุดจิตต์ก็ตายแล้วเหมือนกัน”
ปรียากมลพูดจบกระแทกตัวนั่ง ชันเข่าขึ้นมาในกิริยาที่สุดจิตต์ชอบทำในสมัยนั้น
สองมือกุมหน้า ปิดบังไม่ให้ใครเห็นสีหน้าที่กดดันหนัก
สมใจอึ้ง พูดไม่ออกเหมือนกัน สมปองก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน

ครู่ต่อมาปรียากมลเปิดประตูให้แม่ให้น้อง
สองคนหน้าตาอยู่ในอามรณ์เดิมของใครของมัน ปรียากมลยื่นซองให้
“อะไร” สมใจถาม
“เงิน...ฉันให้ ห้าหมื่น แล้วจะให้อีก” สองแม่ลูกจ้องเงิน
สมปองไหว้ลวกๆ แล้วออกไปเลย ไม่สนใจ
สมใจผลักมือที่ถือซองไป...เบาๆ “แม่ยังไม่มีเรื่องใช้เงิน”
ปรียากมลนิ่งไป มองซองเงินนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วบอก “ตามใจ”
“สุด...เอ้อ ลูกแกมันน่าสงสาร” สมใจพูดมองจ้องหน้า
ปรียากมลฟังนิ่ง
“เขารักกันมานานแล้ว เสียสละให้ลูกเถอะนะ...ปรียากมล”
สมใจบอก สองแม่ลูกจ้องหน้ากัน อ่านใจซึ่งกันและกัน
ปรียากมลจับแขนแม่ออกแรงบีบแรงนิดๆ แล้วพาแม่ให้เดินออกไปพ้นประตู ตัวเองปิดประตู แล้วยืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น มองเพดานห้อง น้ำตาไหลย้อนเข้าไปข้างในดวงตา
ขณะเดียวกันที่นอกประตู สมใจเซไปพิงฝา อ่านสายตาลูกสาวออกว่าไม่ยอมแน่ สมปองมองอยู่ไกลๆ

วันหนึ่ง เพ็ญพักตร์อยู่ภายในห้องนอน สีหน้าเพ็ญพักตร์ นิ่งสนิท รอคอย เจ็บลึกๆ ว่าต้องทำเพื่อลูก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น....อึดใจเดียว ตระกูลเปิดประตูเข้ามา
เพ็ญพักตร์หน้าละมุนขึ้นนิดๆ
ตระกูลเข้ามายืนตรงหน้า แล้วคุกเข่า กอดเอว ซบหน้ากับตัก “คุณเพ็ญ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์ คลายลง เหมือนปลงได้ แตะไหล่ตระกูลเบาๆ
“ขอบคุณครับ” ตระกูลลุกขึ้นจะนั่ง
เพ็ญพักตร์ลุกเดินออกไปอีกทางหนึ่งในห้อง ตระกูลเดินตาม
เพ็ญพักตร์หยิบบัตรเครดิต บัตรเสริมใบใหม่มาวาง “บัตรใบใหม่ ...อุ๊ล่ะ”
“อยู่ข้างล่าง...” สีหน้าตระกูลไม่ดีแล้ว
“ลูกดีใจมากมั้ย”
“มากครับ”
“อย่าทำให้ลูกเสียใจอีก....สัญญาได้มั้ยตระกูล”
“ครับ...คุณเพ็ญ”
“อย่าให้เป็นแค่คำพูด” เพ็ญพักตร์เสียงเข้ม
ตระกูลนิ่งอึ้ง
“จัดการเรื่องของคุณให้จบอย่าให้คาราคาซัง ฉันจะไม่พูดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
เพ็ญพักตร์พูดเหมือนสั่ง ตระกูลมีสีหน้าที่เริ่มเซ็ง แต่เพ็ญพักตร์ไม่ทันเห็น
เพ็ญพักตร์เยาะขึ้นมาอีกคำ “ที่แล้วมาคิดว่าเป็นทาน”
คราวนี้ตระกูลหันขวับ “หมายความว่าไงคุณเพ็ญ ให้ทานผมเหรอ” เสียงตระกูลเริ่มดังขึ้น
เพ็ญพักตร์สวนออกมา “อย่าหาเรื่อง...ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นฟังไม่รู้เหรอ”

อุ๊เคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่ดี
“คุณแม่ทะเลาะกับคุณพ่ออีกแล้ว ทำไมล่ะคะ” อุ๊หน้าเสีย
“เคยสอนว่าอย่าแอบฟังผู้ใหญ่พูดกัน...ไม่จำเลยเหรออุ๊” เพ็ญพักตร์อารมณ์เสียอีก
“ไม่ค่ะ ไม่อยากจำ” น้ำเสียงอุ๊เริ่มสั่น “อุ๊นึกแล้วว่าคุณแม่ต้องหาเรื่องคุณพ่อ คุณพ่ออุตส่าห์กลับมา”
เพ็ญพักตร์เยาะ “อุตส่าห์...อุตส่าห์เหรออุ๊” แล้วพยายามสะกดอารมณ์ “ฉันจะออกไปทำงานล่ะ ตระกูลวันนี้คุณเข้าโรงงานมั้ย”
ตระกูลอึกอักนิดหน่อย “ผม....”
“ไปด้วยกันก็ดี” เพ็ญพักตร์มองหน้าตระกูลนิ่ง “ไปสิ” เพ็ญพักตร์หยิบกระเป๋าเดินออกไปปิดประตูลง
อุ๊กัดฟันแน่น
“อุ๊...ไม่เป็นไรหรอกลูก” ตระกูลปลอบได้เท่านั้น
“เป็น” อุ๊ระเบิดทันที “ทำไมไม่เป็น...เป็นอย่างนี้ ทุกครั้ง แล้วอีกไม่นานหรอกคุณพ่อก็ไม่อยู่อีก...ไม่นานคุณพ่อก็ไปอีก” อุ๊น้ำตาทะลักทะลาย “อุ๊เบื่อ..เบื่อคุณแม่ เบื่อบ้านนี้” สะอื้นฮักๆ “ถ้าคุณพ่อไปอีกครั้งต้องพาอุ๊ไปด้วย...สัญญานะคุณพ่อ...” อุ๊สะอื้นอยู่อย่างนั้น เป็นที่น่าเวทนามาก
ตระกูลกอดลูกปลอบ...นิ่ง เป็นเชิงบอก ไม่ร้องนะลูก พ่อไม่ไปไหน
“อย่าให้เป็นแค่คำพูดนะคุณพ่อ...” อุ๊รับรู้ ถอนสะอื้นตัวโยน

วันรุ่งขึ้นภายในสวนสวย บรรยากาศร่มครึ้ม เขียวชอุ่มด้วยพรรณไม้สวยงาม ดอกไม้ห้อยระย้าย้อย
ดอกโศกเดินมาแต่ไกล เหมือนนางไม้กำลังชมสวน เสื้อผ้าพลิ้วไหว จังหวะหนึ่งดอกโศกแหงนมองต้นไม้ มองนกคู่จู๋จี๋บนต้นไม้
อัศนัยเดินเข้ามาหา มองภาพตรงหน้าอย่างซาบซึ้งตรึงใจ แล้วจรดปลายเท้าเข้ามาใกล้มาก
ดอกโศกได้ยินฝีเท้าก็รู้แล้ว “ให้หันไปมั้ยคะ”
อัศนัยขำอีกแล้ว “โธ่เอ้ย อุตส่าห์ย่อง...หันหน่อยก็ดี” แล้วยื่นหน้าเข้ามา
ดอกโศกก้าวถอยไปสองก้าวแล้วหันมายิ้มกระจ่างตา พร้อมกับไหว้
“ขี้โกง” อัศนัยยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะ”
อัศนัยหัวเราะเสียงดัง เหลียวมองไปรอบๆ “สวนโรงแรมนี้สวยนะดอกโศกชอบเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ...สวยดี คุณนัยเห็นต้นไม้แขวนๆ ที่ดอกโศกแขวนที่บ้านยายมั้ยคะ อุตส่าห์ซื้อนะนั่น...แพงจะตาย”
“อีกหน่อยเราแต่งงานดอกโศกไปอยู่บ้านคุณนัย คุณนัยจะพาไปซื้อแขวนให้รอบบ้านเลยนะ เอามั้ย” อัศนัยพูดพลางหยิบดอกลั่นทมที่ตกมาค้างอยู่บนต้นไม้เตี้ย มาเสียบผมให้ดอกโศก
“เอาค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
“แต่...อีกตั้งนาน คอยตาละห้อยเลย” อัศนัยอ้อนสายตาละห้อย
ดอกโศกเห็นหัวเราะขำ “ไหน...เป็นไงคะไม่เคยเห็นคุณนัยทำตาละห้อยซักที”
“นี่ไง....แบบเนี้ย” อัศนัยถลาเข้ามาจนชิดหน้าดอกโศก
“ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวคนเห็น...ไม่ค่ะ...อย่า คุณนัย” ดอกโศกเสียงดุ “คนเห็นจะว่าได้นะคะว่าหลานคุณย่าทำไมมา....เอ้อ”
“โอเค...โอเค คุณนัยจะอดใจไว้ ไป” อัศนัยสวนคำ พร้อมกับยื่นมือให้ “ไปหาคุณย่ามากัน”
ดอกโศกวางมือบนมืออัศนัย อัศนัยแตะริมฝีปากที่หลังมือเบาๆ เอ่ยขึ้น
“จำไว้นะ” น้ำเสียงอัศนัยจริงจังนัก “คุณนัยรักดอกโศกมาก ชีวิตนี้จะไม่มีวันยอมเสียดอกโศกให้ใครไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม” อัศนัยพูดช้าๆ สายตาฉายชัดว่าหมายถึงภักดิ์ภูมิและเอ็ดดี้
ดอกโศกรับคำด้วยสายตา บอกเป็นนัยว่ามั่นคงเช่นกัน
“โอ้ย...ทำตาอย่างเนี๊ย อยากจูบอีกแล้ว” อัศนัยพูดโดยไม่มองหน้าดอกโศก ทำเป็นพูดกับฟ้ากับดิน
ดอกโศกฟังไม่จบ ดึงมืออัศนัยไปทันที

มิสซีสเบนส์ถือกระเป๋าของดอกโศกมาด้วย เอ่ยขึ้น
“We ‘re going to Hue Hin next week - เราจะไปหัวหินอาทิตย์หน้า”
พลางมองหน้าเอ็ดดี้ สายตาหญิงชรามีความหมายซ่อนอยู่
“Yes, I know.”
“แค่ทำให้แอนเจล่ารู้ว่าเอ็ดดี้จริงใจกับเขา”
“ครับ...” เอ็ดดี้ประคองคุณย่าออกจากห้อง เปิดประตู
“Love is beautiful , Eddie.” ย่าว่า
เอ็ดดี้กอดย่า จูบเบาๆ สไตล์ฝรั่ง เอ็ดดี้โอบตัวคุณย่าแบบประทับใจ
“I love you grandma.”

ยามนี้กิริยาอาการของหญิงชรา ไม่ได้ออกโรงเชียร์มากมาย ดูเหมือนจะคอยห้ามไม่ให้เอ็ดดี้แย่งดอกโศกจากอัศนัยด้วยซ้ำ แต่ก็คอยส่งสัญญาณ ให้เอ็ดดี้ทำดี อย่างจริงใจกับดอกโศก...เผื่อฟลุก

สองคนย่าหลานออกจากลิฟต์ มิสซีสเบนส์เอ่ยขึ้น
“Seen them? - เห็นเขาสองคนมั้ย”
“In the garden , Yes - ในสวนหรือครับ..เห็นครับ”
มิสซีสเบนส์พึมพำเบาๆ สีหน้าหนักใจ “Difficult really - ยากจริง”
เอ็ดดี้ยิ้มสู้เล็กๆ ขณะนั้นอัศนัยจูงมือดอกโศกเดินมาพอดี สี่คนเจอกัน
อัศนัยเห็นสายตาเอ็ดดี้มองดอกโศก ที่มีดอกลั่นทมติดผมอยู่
อัศนัย เหนี่ยวกระชับมือดอกโศกแน่นขึ้น แม้ว่าดอกโศกจะพยายามดึงออก แต่อัศนัยไม่ปล่อย
“Good morning...and good bye. I’ m sorry we have to go now - สวัสดี แล้วต้องลาเลยเพราะเราต้องรีบไป” มิสซีสเบนส์ทำเป็นยิ้มขำๆ
“ผมขออนุญาตไปส่งดอกโศกครับ”
“ส่งที่ไหน” มิสซีสเบนส์ย้อนถามอัศนัยหน้าตายิ้มแย้ม
“ที่ทำงานครับ”
“ไม่อนุญาต” มิสซีสเบนส์บอกยิ้มไปด้วย
อัศนัยหน้าเหวอเลย
“เราจะไปกันอยู่แล้ว ไปรถสองคันเปลืองน้ำมัน” หญิงชราตัดบท
อัศนัยแย้ง “แต่....”
“คุณไม่ต้องไปทำงานหรือคะ? เชิญได้เลย” มิสซีสเบนส์ดูนาฬิกา “สายแล้ว”
“รถมารับแล้วครับแกรนด์มา..เชิญทางนี้ แอนเจล่า เอาอะไรบนห้องอีกไหมครับ” เอ็ดดี้ผสมโรง
ดอกโศกเหลือบมองอัศนัย กระตุกมือนิดๆ “มี....เอ้อ กระเป๋า”
อัศนัยจำต้องปล่อยมือดอกโศก สายตาเครียดเล็กๆ
“ผมพาขึ้นไป” เอ็ดดี้รีบบอก
“เอ่อ...” ดอกโศกอึกอัก
“เชิญครับแอนเจล่า” เอ็ดดี้แตะหลังเบาๆ กิริยาสุภาพ
“ค่ะ” ดอกโศกรับหน้าไม่ดีเลย
“Good bye” เอ็ดดี้บอกลา พร้อมยื่นมือให้อัศนัยจับ
อัศนัยลังเลกระพริบตา แล้วจับมือ “Bye” โค้งให้น้อยๆ “เย็นนี้ผมขออนุญาตรับดอกโศกเองนะครับ
มิสซิสเบนส์ขยับจะพูด
“ขอบคุณครับ...” อัศนัยรีบขัดออกมาก่อน จับมือดอกโศก เขย่าเล่นๆ “คอยผมนะเย็นวันนี้ผมจะมารับ”
อัศนัยเดินไปทันที มิสซีสเบนส์หน้าเฉยลง รู้แล้วว่าต้องต่อสู้หนักกับผู้ชายคนนี้

จู่ฉัตรทองถามขึ้นมาต่อหน้าภักดิ์ภูมิ “ทำไมพี่ภูมิยังไม่ให้เขาไปนั่งห้องพี่ใจเอื้ออีกคะ”
“เขาเป็นเลขาส่วนตัวของพี่ เขานั่งในห้องนี้ดีแล้วฉัตร”
“พี่ภูมิ ฉัตรขอร้อง เห็นแก่ฉัตรได้มั้ยคะ...ฉัตรไม่อยากให้เขานั่งตรงนี้”
“ฉัตรก็รู้ว่าแค่ที่นั่งมันไม่ได้ห้ามสิ่งที่จะเกิดได้...ถ้ามันจะเกิด” น้ำเสียงภักดิ์ภูมิเริ่มขุ่นมัวนิดๆ
“พี่ภูมิ” ฉัตรทองหน้างอหงุดหงิด ที่ถูกขัดใจ
ใจเอื้อเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“อะไรครับพี่ใจเอื้อ”
ใจเอื้อถือแฟ้มงานมาวางบนโต๊ะ “มีจดหมายตอบจากผู้ว่า ททท. ค่ะ ที่จะให้มา Speech เรื่อง AEC ท่านตอบตกลงค่ะ”
“ขอบคุณครับ พี่ใจเอื้อ”
ใจเอื้อออกไปแล้ว ฉัตรทองมีเวลายืนตรึกตรองคำพูดเมื่อครู่อยู่ แล้วปราดเข้ามา
“พี่ภูมิ...” มองภักดิ์ภูมิน้ำตาคลอๆ “อะไรจะเกิดคะ พี่ภูมิพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง
“พี่หมายความว่าฉัตรอย่าแคร์เรื่องเก้าอี้นั่งเลย”
“พี่ภูมิให้ฉัตรแคร์เรื่องอะไร” ฉัตรทองถามเสียงเรียบเบา มองหน้านิ่งสายตาเจ็บปวด บอกความรู้สึก “เก้าอี้ตัวเดียวสำหรับฉัตรมันหมายถึงทุกอย่าง” อารมณ์หึงหวงเริ่มมาแล้ว “ฉัตรไม่โง่นะพี่ภูมิ คิดว่าฉัตรโง่เหรอคะ”
“ฉัตรไปกันใหญ่แล้ว”
“พี่ภูมินั่นแหละไปใหญ่...พี่ภูมิเปิดจนหมดอย่างนี้จะให้ฉัตรทำยังไง” เสียงฉัตรทองเริ่มดัง และเริ่มจะทนไม่ไหว “ให้ฉัตรนิ่งเฉยให้แม่คนนี้เอาพี่ภูมิไปจากฉัตรงั้นเหรอ ฉัตรไม่เอาเรื่องกับมันดีเท่าไหร่แล้ว”
“ฉัตร” ภักดิ์ภูมิเสียงหนัก “พอ...มากเกินไปแล้ว พี่เป็นสิ่งของที่ใครจะมาหยิบไปงั้นเหรอ...อย่าใส่ร้ายเขาเกินไป เขามีแฟนแล้วฉัตรก็เห็น”
“เห็น...ฉัตรเห็น มีแต่พี่ภูมิเท่านั้นที่ไม่เห็น” ฉัตรทองหันหลังจะเดินออกไป

ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตู มิสซีสเบนส์เปิดเข้ามา ดอกโศก และเอ็ดดี้เดินตามมา
“มอร์นิ่งค่ะ ฉันพาแอนเจล่ามาส่ง” มองหน้าสองคนเห็นหน้าเครียดหนัก “Oh….sorry”
“เชิญครับมิสซิสเบนส์ ผมก็กำลังจะพาฉัตรทองไปเรียน เชิญพักห้องนี้ก่อนนะครับ...” ภักด์ภูมิหันมาทางดอกโศก “แอนเจล่า ผมมีเรื่องต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ...ช่วยผมหน่อยนะครับ” มองจ้องนัยน์ตาดอกโศกบอกอารมณ์ชัดเจน
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ
ฉัตรทองมองภักดิ์ภูมิเห็นนัยน์ตานั้นแล้วหน้าเข้มขึ้นทันที
“สวัสดีค่ะ ทุกคน” ฉัตรทองเดินไปกับภักดิ์ภูมิ
ทุกคนนิ่งไป
“ย่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเขาพักอยู่ที่นี่ เอ็ดดี้อยู่ช่วยแอนเจล่าแปลเอกสารนะ” มิสซีสเบนส์ขอตัว
“ครับย่า”
มิสซีสเบนส์ออกไป เห็นสีหน้าหญิงชรายิ้มบางๆ ว่าสมใจ
“แอนเจล่า มาเร็ว คุณอ่านภาษาไทยผมจะแปลเป็นอังกฤษนะพิมพ์ให้ด้วยเอ้า...เสร็จแล้วไปดูหนังกัน” เอ็ดดี้วางโปรแกรมเสร็จสรรพ
ดอกโศกยิ้มขำ “ฉันไม่อยากถูกตัดเงินเดือน”
“ไม่...ไม่ผมการันตีเขาไม่ตัดเงินเดือน มีแต่เพิ่มขึ้นแน่นอน” เอ็ดดี้ว่า
“งั้นฉันไปดูหนังไม่ได้แล้วล่ะค่ะ อยากได้เงินเพิ่ม” ดอกโศกสัพยอก
เอ็ดดี้คิดทวนคำพูดอยู่อึดใจ แล้วหัวเราะชอบใจ “Oh…ผมชอบคุณจังคุณมี...เขาเรียกอะไรนะ Sense of Humor” ดีดนิ้วเปาะ “อารมณ์ขัน”
“อารมณ์ขัน” ดอกโศกเองก็พูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
“That ‘s it - นั่นแหละ” เอ็ดดี้ยิ้มจ้องหน้าดอกโศกถาม “ตกลงนี่คือวิธี say no ของคุณใช่ไหมแอนเจล่า”
ดอกโศกตอบยิ้มๆ “Sure”
“อา...” เอ็ดดี้ทำท่าล้ม...เหมือนคนหมดหวัง แล้วเย้าขำๆ “Pity me - สงสารตัวเองจังเลย”
ใจเอื้อเคาะประตู เดินเข้ามาเลย แจ้งคิวนัดกับดอกโศก “คุณแอนเจล่า วันนี้คุณภักดิ์ภูมิมี lunch กับมิสซิสทาเคยาชิ กงสุลญี่ปุ่นที่ห้องอาหารของเราคุณแอนเจล่าต้องไปด้วยค่ะ”

อ่านละครเรื่อง ดอกโศก ตอนที่ 15/4 วันที่ 10 พ.ค. 55
ละครเรื่อง ดอกโศก บทประพันธ์ : ศรีทอง ลดาวัลย์
ละครเรื่อง ดอกโศก บทโทรทัศน์ : ศัลยา
ละครเรื่อง ดอกโศก กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ
ละครเรื่อง ดอกโศก ผลิต : บ. เอ็กแซ็กท์ - ซีเนริโอ
ละครเรื่อง ดอกโศก แนวละคร : ดราม่า
ละครเรื่อง ดอกโศก ออกอากาศทุกวัน จันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทาง ททบ. 5
ที่มา manager.co.th
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ