อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 12 วันที่ 31 พ.ค. 55

{[['']]}

อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 12 วันที่ 31 พ.ค. 55

อ่าน ขุนศึก
ดวง แขกำลังนั่งมองเสมาที่นอนป่วยอยู่ด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงแขเอื้อมมือไปจับใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้สูงนึกสงสารเสมาจับใจ สมบุญยืนอยู่ใกล้ๆเมื่อเห็นดวงแขร้องไห้ก็แปลกใจ
“แม่หญิง เหตุใดถึงร้องไห้เล่า สงสารพี่เสมารึ”
“สงสารก็ข้อหนึ่ง แต่น้อยใจก็เป็นอีกข้อหนึ่ง คิดดูเถิดเสมาเจ็บหนักถึงเพียงนี้ แต่ฉันกลับไม่รู้เลย ไม่ว่าฉันเพียรพยายามเท่าใด เสมาก็หาเคยเห็นฉันในสายตาไม่” ดวงแขพูดพลางเช็ดน้ำตา
ดวงแขร้องไห้ออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ เบือนหน้าหลบสายตาสมบุญ ซับน้ำตาไปมา สมบุญจับตามองดวงแขอย่างจับสังเกต

เอื้อยแตงมองห่อยาห่อใหญ่สองห่อในมืออย่างชั่งใจ เป็นความรู้สึกเดียวกับจำเรียงและสิน
“ฉันว่าเอายาพวกนี้ไปทิ้งเถิด แม่หญิงดวงแขมากเล่ห์แสนกลนัก ดูแต่มิตรรักอย่างแม่หญิงเรไรซี แม่หญิงดวงแขยังทำได้ลงคอ แล้วจักไว้ใจให้พี่เสมากินยาพวกนี้ได้กระไร” สินพูดอย่างระแวง
จำเรียงลังเลในคำพูดของสิน
“แล้วแม่หญิงดวงแขจะทำร้ายพี่เสมาไปเพื่อกระไรเล่า ในเมื่อแม่หญิงมีใจให้พี่เสมา”
“ก็ไม่แน่ดอก ไม่เคยได้ยินรึ รักมากยิ่งแค้นมาก หากแม่หญิงดวงแขเห็นว่าไม่อาจได้ใจพี่เสมาแล้วอาจพาลทำร้ายเอาก็เป็นได้” เอื้อยแตงว่า
สินรีบสนับสนุนทันที
“แน่แล้ว แม่เอื้อยแตงพูดถูกแน่แล้วทิ้งยาไปเสียเถิด”
“แต่เพลานี้พี่เสมาเจ็บหนักทั้งแผลแลพิษไข้ หากไม่กินไม่ทายาแล้วจะหายได้กระไร หรือแม่เอื้อยแตงกับพ่อสินหายาให้พี่เสมาได้เล่า” จำเรียงถาม
“หากหาได้ พวกเราจะหนักใจเช่นนี้หรือจำเรียง” เอื้อยแตงพูดอย่างหนักใจ
จำเรียงดึงห่อยามาจากมือเอื้อยแตงแล้วตัดสินใจ
“ถ้ากระนั้นฉันจะให้พี่เสมากิน”
“แต่..” สินอึกอัก
“ถ้าพี่เสมาไม่หายก็ไปคัดทหารไม่ได้ อย่างไรเราก็ต้องเสี่ยง” จำเรียงพูดตัดบท
สินและเอื้องแตงชำเลืองมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เพราะยังระแวงในตัวดวงแขอยู่
“ฉันเคยเป็นทาสรับใช้แม่หญิงดวงแขมาก่อน แม่หญิงมีน้ำใจกับฉันนัก ฉันเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ไม่คิดร้ายกับพี่เสมาดอก”
จำเรียงเดินเลี่ยงไปทางหลังกระท่อม เพื่อต้มยาให้เสมา เอื้อยแตงและสินมองหน้ากัน ถึงจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ยอมรับว่าต้องเสี่ยงอย่างที่จำเรียงพูด


สมบุญกำลังประคองเสมาลุกขึ้นนั่งเพื่อดื่มยากลางดึก ขณะที่สินคอยทายาที่แผลด้านหลังให้เสมา
“เป็นกระไรบ้างพี่เสมา”
เสมา พยักหน้าช้าๆด้วยความอ่อนเพลีย
“ดีขึ้นมากแล้ว”
“ยานี้ชะงัดนักกินเพียงสามครา ตกดึกก็ได้สติถึงกับลุกขึ้นนั่งกินยาได้เอง” สมบุญพูดด้วยสีหน้าดีใจ
“ยาทาก็ดีเช่นกัน ไม่ทันไรแผลก็แห้งแล้ว” สินบอก
“ขอบน้ำใจพวกเอ็งนักที่หาหยูกยาแลดูแลข้าเช่นนี้ หากไม่ได้พวกเอ็งมิแน่ว่าครานี้ข้าอาจไม่รอดแล้ว” เสมาพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆด้วยความอ่อนเพลีย
สินและสมบุญหันไปสบตากัน
“เรื่องดูแลไม่ผิดดอก แต่ยาพวกฉันไม่ได้เป็นคนหามาดอกจ้ะ” สินบอก
“แล้วผู้ใดให้มาเล่า” เสมาถามด้วยความแปลกใจ
“แม่หญิงดวงแขจ้ะ ยาพวกนี้เป็นของแม่หญิงดวงแขให้มาทั้งสิ้น” สมบุญบอก
เสมาหน้าขรึมลง และรู้สึกผิดทันทีเพราะคิดได้ว่าถึงดวงแขจะร้ายอย่างไรแต่ก็ดีกับตนเสมอมา

เวลาผ่านไปสองสามวัน ที่บริเวณท่าเรือท้ายวังในยามเช้า ดวงแขกำลังนั่งอยู่ที่ท่าน้ำเพื่อเตรียมใส่บาตร เสมาค่อยๆ เดินมาด้านหลังดวงแขแล้วนั่งลงข้างๆ ดวงแขหันกลับไปมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเสมา จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เสมายิ้มบางๆ
“มิทราบว่าแม่หญิง จะเมตตาให้ข้าพระเจ้าใส่บาตรด้วยสักคนได้หรือไม่”
“นี่เสมาหายแล้วรึยังไม่ถึงสามวันเลย” ดวงแขพูดอย่างดีใจ
“ยังไม่หายสนิทดอก แต่ข้าพระเจ้าต้องไปคัดทหาร หากยังมีบุญอยู่บ้างก็คงได้กลับมารับใช้บ้านเมืองอีกครา”
“แล้วเสมาหายเคืองฉันแล้วหรือ”
“ข้าพระเจ้าจะโกรธเคืองผู้ที่ช่วยข้าพระเจ้าไว้ได้อย่างไร แม่หญิงมีคุณกับข้าพระเจ้านัก หากไม่ได้ยาของแม่หญิง อย่าว่าแต่ไปคัดทหารเลย แม้ชีวิตยังไม่รู้จักรักษาไว้ได้หรือไม่”
ดวงแขรู้สึกดีใจที่เห็นว่าเสมามีความรู้สึกดีๆกับตัวเอง
“ถ้ากระนั้น เสมาก็คงรู้แล้วว่าผู้ใดมีใจจริงให้เสมา”
เสมาหน้าขรึมลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ดวงแขหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที
“เหตุใดไม่ตอบ เสมาคงไม่ลืมดอกนะว่าแม่เรไรต้องออกเรือนกับพี่ขัน แล้วยังจะหวัง..”
ดวงแขพูดยังไม่ทันจบ พระภิกษุรูปหนึ่งก็พายเรือผ่านมาทีท่าน้ำพอดี เสมาได้โอกาสรีบตัดบททันที
“นิมนต์ขอรับ”

เสมากุลีกุจอเตรียมตัวใส่บาตร โดยไม่พูดกับดวงแขอีก ดวงแขรู้ว่า เสมายังตัดเรไรไม่ขาดแต่ต่อหน้าพระก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ยกมือไหว้พระแต่สีหน้ายังมีร่องรอยของความขุ่นเคืองอยู่
เช้าสายวันเดียวกัน ขันและพุฒผลักประตูออกมาจากกระท่อมของสมบุญ หลังจากที่เข้าไปแล้วไม่เจอเสมาโดยมีสมบุญ กับจำเรียงยืนรออยู่หน้ากระท่อม

“อ้ายเสมาอยู่ที่ใด พวกเอ็งซ่อนตัวมันไว้รึ” พุฒตะคอกใส่ทันที
สมบุญยิ้มกวนๆแล้วว่า
“เหตุใดต้องซ่อน พี่เสมามีขาจะเดินไปที่ใดก็สุดแต่ใจพี่เสมา ข้าจะห้ามได้กระไร”
“ถ้าอ้ายเสมาหายแล้วก็ต้องไปเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้าง”
“ถ้าเอ็งอยากจับตัวพี่เสมาก็ไปตามจับตัวที่วังหน้าเถิด” สมบุญพูดแล้วยิ้มเยาะ
“วังหน้า อ้ายเสมาไปทำกระไรที่วังหน้า” ขันถามขึ้นอย่างแปลกใจ
จำเรียงยิ้มแย้มแล้วบอกสีหน้าระรื่น
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวองค์น้อย ทรงมีรับสั่งให้คัดเลือกทหาร พี่เสมาก็เลยไปร่วมคัดด้วย หากได้เป็นทหารก็เสมือนได้พ้นโทษไม่ต้องเป็นตะพุ่นอีกต่อไป คงไม่ต้องรบกวนออกขุนทั้งสองมาตามไปเกี่ยวหญ้าอีกแล้ว”
ขันและพุฒตกใจกลัวว่าเสมาจะกลับมาเป็นทหารเลยจะรีบไปตามจับตัวทันที
แต่ทันใดนั้น สมบุญก็เป่าปากให้สัญญาณ ทหารกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือก็ออกจากที่ซ่อนมาล้อมขัน และพุฒไว้ทันที ขันและพุฒรีบชักอาวุธออกมาทันที
“นี่มึงทำกระไรอ้ายสมบุญ พวกกูเป็นขุนมึงเป็นแค่หัวพันคิดจะทำร้ายกูเชียวรึ สั่งทหารของมึงหลบไปประเดี๋ยวนี้” ขันตะคอก
“หลบได้อย่างไร ทหารของข้าต้องจับกบฏก่อน”
“พวกกูน่ะรึกบฏ มึงปากพล่อยไปแล้วอ้ายสมบุญ” พุฒว่า
“ก็พวกเอ็งคิดจะไปขัดขวางไม่ให้พี่เสมาคัดทหารไม่ใช่รึ”
“ทุกคราออกขุนทั้งสองต้องมีทหารมาด้วย แต่วันนี้กลับมาแค่สองคน ย่อมแสดงว่าฟ้าดินอยากให้ออกขุนทั้งสองพักอยู่ที่นี่สักครู่ เสร็จการคัดเลือกเมื่อใดก็ค่อยกลับเถิด”
ขันและพุฒแค้นมากที่เจอสมบุญและจำเรียงย้อนเอาเช่นนี้ แต่พวกตนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารสมบุญ และสมบุญเองก็เก่งไม่เบาจะตีหักออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจึงต้องยอมจำนนแต่โดยดี

ที่บริเวณหน้าวัง ยามสาย ชายหนุ่มมากมายถืออาวุธเตรียมจะมาคัดเลือกเป็นทหาร พันจิตรกำลังคุยกับสินอยู่
“กฎก็ไม่มีกระไรมากดอก เพียงแต่สู้กับทหารรักษาวังให้ได้หนึ่งยก เพียงเท่านี้ก็ได้เป็นทหารแล้ว” พันจิตรบอก
สินยิ้มดีใจแล้วบอก
“เช่นนั้น พี่เสมาของฉันได้เป็นทหารแน่”
“อย่าเพิ่งดีใจไปพันทิพ ทหารรักษาวังแต่ละคนฝีมือร้ายนัก ยิ่งขุนจำนงรักษาด้วยแล้ว ถือเป็นยอดฝีมือของวังหน้าเลยเทียว”
ขณะนั้นเอง ขุนจำนงก็เดินเข้ามาหาพันจิตร
“พันจิตรเสน่หา เจ้ามาทำกระไรที่นี่ เหตุใดไม่ไปจัดเตรียม..” ขุนจำนงถาม
ขุนจำนงชะงักไปเมื่อเจอสิน ทั้งคู่ต่างจำกันได้ เลยเขม่นกันทันที ขุนจำนงเห็นเครื่องแบบของสินเลยรู้ว่าเป็นทหารพลางยิ้มเล็กน้อยทักทาย
“เป็นหัวพันนี่เองมิน่าเล่า ฝีมือถึงดีเช่นนี้”
“แล้วที่ท้าไว้เล่าจะประลองกันเมื่อใดดี” สินพูดพลางยิ้มท้าทาย
“วันนี้ข้าเป็นคนคัดเลือกทหารคงไม่เหมาะนัก แต่เอ็งไม่ต้องกังวลไป เมื่อเป็นทหารเช่นกัน ย่อมได้เจอกันอีกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเอ็งอย่าหนีก็แล้วกัน”
ขุนจำนงพูดแล้วก็เดินเลี่ยงไป
“นี่พันทิพรู้จักขุนจำนงรักษาด้วยรึ” พันจิตรถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
สินยิ้มเล็กน้อยแล้วบอก
“นี่หรือขุนจำนงรักษา ควรแล้วที่เป็นยอดฝีมือของวังหน้า แต่ฝีมือก็เพียงคู่คี่กับฉันเท่านั้นดอก ยังห่างชั้นจากพี่เสมานัก”
สีหน้าของสินพอใจและมั่นใจว่าเสมาต้องชนะแน่

ในยามบ่าย ณ บริเวณฝึกดาบ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาคัดเลือกกับทหารที่เป็นคนสอบต่างคุกเข่าถวายบังคมสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่ประทับนั่งอยู่ในพลับพลาชั่วคราว สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงจิบน้ำดูการประลองด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม ดีพระทัยที่มีคนสนใจอยากเป็นทหาร
ทหารคนหนึ่งเอากะลาเจาะรูวางในอ่างน้ำ … การประลองเริ่มต้นนับแล้ว ชายหนุ่มที่มาคัดเลือกกับทหารนคนสอบต่างลุกขึ้นประลองฝีมือคัดทหารกันอย่างดุเดือด ผลการประลองฝีมือ ทหารที่เป็นคนสอบเล่นงานชายหนุ่มที่มาคัดเลือ จนถอยร่น ก่อนจะเอาดาบพาดคอชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มแพ้ไป
ทหารคนที่เอากะลาวางในอ่างน้ำพูดเสียงดังขึ้น
“ไม่ครบยก คัดไม่ผ่าน”
ทหารกับชายหนุ่มคุกเข่าลงถวายบังคมก่อนจะเดินเลี่ยงไป ชายหนุ่มเดินไปด้วยท่าทีซึ่งเสียดายมาก
ผ่านเวลาการคัดเลือกแบบนี้อีกหลายครั้ง โดยเปลี่ยนทหารหมุนเวียนกันมาทดสอบ บางคนก็ผ่าน
หลายคนก็ตกไป แต่พอขุนจำนงเป็นคนสอบจะใช้ทวนเป็นอาวุธและลงมือหนักจนชายหนุ่มที่เข้าคัดเลือก เลือดตกยางออก บาดเจ็บไปตามๆกัน
เสมามองขุนจำนงอย่างไม่พอใจที่ลงมือหนักเหมือนรังแกกัน ขณะนั้นเอง พันจิตรก็เดินเข้ามาหาเสมาด้วยสีหน้าเครียด
“โชคไม่ใคร่ดีนัก เจ้าต้องสู้กับขุนจำนงรักษา ยอดฝีมือแห่งวังหน้า”
“ขุนจำนงรักษา คนที่ใช้ทวนน่ะรึ” เสมาถาม
“ถูกแล้ว ฝีมือทวนของขุนจำนงนับเป็นเอก เจ้าต้องสู้ด้วยอาวุธอื่นอย่าใช้ทวนสู้ด้วยเป็นอันขาด”
เสมาพยักหน้ารับแล้วว่า
“ฝีมือทวนท่านขุนผู้นี้นับว่าเป็นเลิศจริง แต่ลงมือหนักนัก ผู้ที่สู้ด้วยไม่มีใครคัดผ่านแม้แต่คนเดียว”
ขณะนั้นผู้ที่เข้าคัดเลือกก็แพ้ไปอีกคน
“ไม่ครบยกคัดไม่ผ่าน คนต่อไปตะพุ่นหญ้าช้างเสมา ผู้สอบขุนจำนงรักษา” ทหารพูดเสียงดัง
พอบอกว่าเป็นตะพุ่นหญ้าช้างมาทดสอบก็เรียกเสียงหัวเราะครึกครื้นไปทั่ว เพราะทุกคนต่างดูถูกอาชีพนี้พลางคิดกันว่า เสมาไม่เจียมตัวเป็นแค่ตะพุ่นกลับมาทดสอบเป็นทหาร
เสมาและขุนจำนง เดินออกไปหน้าที่ประทับ แล้วคุกเข่าถวายบังคม
“อ้ายตะพุ่น เอ็งจักใช้อาวุธกระไรรึ” ขุนจำนงถาม
“ทวนขอรับ”
ขุนจำนงกระหยิ่มยิ้มย่องที่เสมาใช้อาวุธที่ตนถนัดมาสู้กับตน พันจิตรถอนใจส่ายหน้าทันทีที่เสมาไม่เชื่อในคำพูดที่แนะนำไว้
ทหารเอาทวนมาให้เสมากับขุนจำนง ทหารวางกะลาลงในอ่างน้ำ ทั้งคู่ถวายบังคมอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสู้กันทันที
เสมาชิงบุกก่อนควงทวนรุกไล่ขุนจำนง ขุนจำนงประมาทเจอเสมาบุกหนัก เลยต้องตั้งรับเป็นพัลวัน พอตั้งหลักได้ก็บุกสู้ทันที แต่เสมาฝีมือเหนือกว่า สู้กันด้วยเพลงทวนไม่กี่กระบวน เสมาก็รุกไล่จนขุนจำนงต้องหนีเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเล
ขุนจำนงยิ่งโมโหหนักใช้ท่าไม้ตายบุกใส่ชนิดเลือดเข้าตา เสมาบุกสู้กลับต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมถอย แต่สู้กันได้ซักพัก เสมาก็ใช้ทวนของตน ปัดทวนของขุนจำนงจนหลุดจากมือ ก่อนจะใช้ปลายทวน
ชี้หน้าขุนจำนงเป็นการแสดงชัยชนะ ท่ามกลางความเงียบกริบ เพราะไม่มีใครคิดว่าเสมาจะชนะ
ทหารรีบดูกะลา ปรากฏว่ากะลายังไม่จม ขุนจำนงเป็นฝ่ายแพ้ทั้งๆที่ไม่ครบยกด้วยซ้ำ เล่นเอาทหารงงเพราะไม่เคยเจอแบบนี้
“ไม่ครบยก คัดผ่าน”
เสมาคุกเข่าก้มลงไหว้ขุนจำนงเป็นการขอขมา
“เอ็งอำพรางฝีมือ หากข้าไม่ประมาท ข้าไม่แพ้เอ็งดอก” ขุนจำนงพูดด้วยความแค้น
“แต่แรก ข้าพระเจ้าไม่คิดเอาชำนะ ตั้งใจสู้ให้ครบยกเพื่อเป็นทหารเท่านั้น แต่ขุนท่านลงมือหนักนัก ทำร้ายคนบาดเจ็บหลายคน ข้าพระเจ้าจึงจำต้องสำแดงฝีมือให้ปรากฏไว้ ขอขุนท่านอภัยด้วยเถิด”
เสมาไหว้ขมาอีกทีก่อนจะลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป ขุนจำนงมองตามด้วยแววตาแห่งความเจ็บแค้นเต็มเปี่ยม
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงแย้มสรวลด้วยความพอพระทัย ในฝีมือของเสมาอย่างมาก

หมายเหตุ - กะลาเจาะรูวางลงในอ่างน้ำ เป็นการจับเวลาหนึ่งยกในสมัยโบราณ ถ้าน้ำซึมเข้ากะลาจนจมลงสู่ก้นอ่างเมื่อไหร่ ถือว่าเป็นหนึ่งยก

สมเด็จพระนเรศวรกำลังตรัสกับสมเด็จพระเอกาทศรถด้วยสีพระพักตร์แจ่มใส โดยมีพันจิตรเสน่หาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ เมื่อเพลงเย็นในพระราชวัง สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสรวลเสียงดัง
“พี่เคยเห็นดาบสองมือของอ้ายตะพุ่นมาแล้ว แต่ไม่นึกว่าเชิงทวนของมันก็ร้ายกาจไม่เบา มิเสียแรงที่น้องเมตตาช่วยเหลือมัน”
“นั่นเป็นเพราะพระราชมนู ทูลเรื่องคราต้องโทษให้ฟัง ข้าพระพุทธเจ้าจึงแน่ใจว่าข่าวที่อ้ายตะพุ่นเสมาเป็นคนอกตัญญูเป็นเพียงเรื่องมุสาเท่านั้น”
พระนเรศวรพยักพระพักตร์ด้วยความเข้าพระทัย
“แลอ้ายเสมาต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างได้รับความลำบากยากแค้นไม่น้อย คงได้คิดขึ้นบ้าง ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นควรที่จักช่วยเหลือสักครา” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส
พันจิตรยิ้มแหยแล้วกราบบังคมทูล
“ใต้ฝ่าพระบาท น่าจะบอกข้าพระพุทธเจ้าก่อน ว่าเจ้าตะพุ่นเสมา เป็นคนเดียวกับหลวงโจมจัตุรงค์ที่ร่ำลือกัน ข้าพระพุทธเจ้าเผลอเป็นห่วง แลแนะเชิงการต่อสู้ไปไม่น้อย คิดแล้วอายนัก”
“ข้าต้องปิดเจ้าไว้เพราะอยากดูน้ำใจอ้ายเสมา แลจักยืมมือมันสั่งสอนเจ้าขุนจำนงสักครา เจ้าขุนจำนงมีฝีมือแลความซื่อสัตย์ แต่หยิ่งยโสนัก ควรที่จักมีคนปราบให้ละพยศเสียบ้าง”
สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
“น้องทำถูกแล้ว ครานี้เราได้คนดีมีฝีมือมาเพิ่มไม่น้อย ควรที่จะให้พระเจ้าแปรได้รู้ฝีมือคนอโยธยาเสียบ้าง”

ภายในตำหนัก เมื่อเวลาหัวค่ำ เรไรกำลังสนทนาอยู่กับบัวเผื่อนด้วยความดีใจ
“ว่ากระไรนะ เสมาได้กลับเป็นทหารแล้วรึ”
บัวเผื่อนยิ้มดูถูก
“ได้ยินไม่ผิดดอก เสมาพ้นจากตะพุ่นได้กลับเป็นทหารแล้ว แต่เพียงแค่ทหารเลวเทียมนั้น แลยังต้องเกี่ยวหญ้าให้ช้างกินระหว่างศึกอีก หาได้ดีกว่าเดิมสักเท่าใดไม่”
“เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีศักดิ์เสมอทาสอีก”
ขณะนั้นเอง ดวงแขก็เดินเข้ามาหาเรไร
“อย่ามัวคำนึงถึงศักดิ์ผู้อื่นจนลืมศักดิ์ของตนเสียเล่าแม่เรไร หญิงจักงามก็ด้วยความสัตย์ซื่อ แม่คงรู้ดีกระมัง”
เรไรชักสีหน้าไม่พอใจ
“แล้วฉันทำสิ่งใดให้แม่ดวงแขเห็นว่าไม่สัตย์ซื่อรึ”
“หากไม่มีก็ดี เพราะอีกไม่นานแม่เรไรก็ต้องออกเรือนกับพี่ชายฉันแล้ว ฉันไม่อยากให้ผู้ใดนินทาว่าร้ายเอาได้”
“นี่ได้ฤกษ์แต่งแล้วหรือ แหม เพิ่งหมั้นไปไม่นานนัก หวังว่าแต่งครานี้คงไม่ล่มอีกกระมัง” บัวเผื่อนพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ดอก เพราะได้แก้เคล็ดตามคำท่านอาขุนรามแล้ว งานแต่งครานี้ต้องราบรื่นเป็นแน่” พูดแล้วดวงแขก็ใช้หางตาเหล่ๆ มองมาทางเรไร
เรไรสีหน้าเครียดหนัก แม้จะทำใจไว้แล้วแต่ก็ยังไม่อยากแต่งงานกับขันอยู่ดี

อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 12 วันที่ 31 พ.ค. 55
ละคร ขุนศึก บทประพันธ์โดย :ไม้เมืองเดิม/สุมทุม บุญเกื้อ
ละคร ขุนศึก กำกับการแสดงโดย: อดุลย์ บุญบุตร
ละคร ขุนศึก บทโทรทัศน์ละครโดย: เอกลิขิต
ละคร ขุนศึก ผลิตโดย: บริษัท ที.วี.ซีน จำกัด
ละคร ขุนศึก แนวละคร : ดราม่า - อิงประวัติศาสตร์
ละคร ขุนศึก ออกอากาศทุกวัน : จันทร์ -อังคาร เวลา 20.30 ทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ละคร ขุนศึกนำแสดงโดย: อั้ม อธิชาติ, พลอย เฌอมาลย์, เบนซ์ พรชิตา,วรฤทธิ์,นิรุตติ์, ตุ้ย , โก , โดนัท
ที่มา ไทยรัฐ
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ