อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11 วันที่ 30 พ.ค. 55

{[['']]}
อ่านละครขุนศึก
อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11 วันที่ 30 พ.ค. 55

ภายในห้องพัก ดวงแขเปิดประตูเข้าห้องพักมาแล้วปิดประตูลง ทันใดนั้น ดวงแขก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนพื้น ดวงแขแปลกใจเลยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู เป็นจดหมายของเสมา... ดวงแขอ่านจดหมายไปอย่างตั้งใจ

“ข้าพระเจ้าทราบว่าแม่หญิงต้องกลับเข้าวัง มิรู้ว่าเมื่อใดจะได้ออกมาจึงทุกข์ใจนัก เพราะหวั่นว่าจะไม่ได้เจอแม่หญิงอีกนานวัน ขอให้แม่หญิงได้โปรดเมตตาออกมาให้ข้าพระเจ้าได้พบเห็นหน้าเพียงสักครู่ที่ประตูท้ายวังคืนนี้ หากแม่หญิงมีเมตตา ทุกข์ของข้าพระเจ้าคงเบาลงได้”
“อยู่ถึงตำหนักใน ยังกล้าลอบเข้ามาอีกรึ” ดวงแขพูดพึมพำอย่างปลาบปลื้มพลางยิ้มเอียงอายอยู่ไปมา
ในเวลากลางคืน ดวงแขเดินอย่างระมัดระวัง คอยดูอย่างระแวดระวังไปจนมาถึงท้ายวัง ขณะนั้นเองก็มีมือคู่หนึ่งเข้ามาโอบเอวดวงแขไว้ ดวงแขตกใจ แต่ซักพักก็เขินอายไม่ได้ว่าอะไร ดวงแขคิดว่าเป็นเสมา ที่แท้เป็นพุฒ
“ข้าพระเจ้าดีใจนักที่แม่หญิงให้ข้าพระเจ้ามาพบคืนนี้”
ดวงแขตกใจสุดๆที่ได้ยินเสียงพุฒ เลยรีบสะบัดตัวหลุดออกมา พอเห็นหน้าพุฒชัดๆก็โกรธขึ้นมาทันที
“นี่ถึงกับกล้าหลอกลวงฉันให้มาพบเชียวรึ ครานี้ท่านได้โทษหนักเป็นแน่ ให้สมกับที่ล่วงเกินฝ่ายในอย่างฉัน”
“หลอกลวงกระไร แม่หญิงให้คนถือจดหมายเรียกข้าพระเจ้ามาพบไม่ใช่รึ”
“มุสาแล้ว ฉันเกลียดท่านเหมือนจะตาย เรื่องกระไรจะเรียกมาพบ ที่ฉันมาเพราะนึกว่าเป็นเสมาต่างหาก”
ดวงแขชะงักที่เผลอตัวพลั้งปากไปด้วยความโกรธ
“นี่ใฝ่ต่ำ ถึงขนาดออกมาหาอ้ายตะพุ่นกลางค่ำกลางคืนเชียวรึ งามหน้านักแม่หญิงชาววัง”
“แล้วจะทำไม ในเมื่อฉันรักเสมา รักมานานแล้วด้วย แม้เสมาจะตกต่ำไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ยังดีกว่าขุนเยี่ยงท่านมากนัก”
“ไร้ยางอาย มิน่าเล่า จึงได้คิดแผนใส่ความอ้ายเสมา จนมันผิดใจกับแม่หญิงเรไรเพื่อจะแย่งมันมา เสียทีเกิดเป็นลูกชาติลูกตระกูล แต่คิดใฝ่ต่ำทำได้ชั่วนัก”

“นี่พี่ขันเล่าให้ฟังรึ ใช่ ฉันวางแผนเพื่อแย่งชิงเสมา แล้วมีกระไร ถ้าอยากบอกก็บอกเลย ไม่มีผู้ใดเชื่อคนน้ำใจคดเช่นท่านดอก”
ขณะนั้นเอง เรไรและบัวเผื่อนก็เดินออกมาจากที่ซ่อน เรไรสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาแข็งกร้าว
“ไม่มีผู้ใดเชื่อขุนวิเศษ แต่ฉันเชื่อคำที่ออกจากปากแม่ดวงแข”
ดวงแขตกใจสุดๆไม่คิดว่าเรไรและบัวเผื่อนจะมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่พุฒก็ตกใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ บัวเผื่อนได้ทียิ้มเยาะ
“แต่แรกตั้งใจให้แม่เรไรได้รู้หัวใจคดของเพื่อนรัก ไม่คิดเลยเชียวว่าจักเกินคาดถึงเพียงนี้”
เรไรมองดวงแขด้วยสายตาโกรธเคือง ผิดหวังและเสียใจ ในขณะที่ดวงแขกลัวและละอายจนไม่กล้าสู้ตาเรไร
เรไรสะบัดหน้าเดินฉับๆ รับไม่ได้ ทั้งผิดหวังและเสียใจที่เสียรู้เพื่อน
ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังคุยกับศรีเมืองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสะใจในเช้าวันใหม่

“ ไม่นึกเล๊ย ขนาดเป็นมิตรกันมาแต่เล็กแต่น้อยจะทำกันได้ลงคอ แม่ดวงแขก็ช่างกระไรเลย ยามแย้มยิ้มกลับซ่อนมีดไว้ข้างหลังเสียนี่”
“ แล้วเช่นนี้จะไม่เป็นว่าเรายุแยงให้พวกเค้าแตกกันหรือจ๊ะ แม่หญิงบัวเผื่อน”
“อ้าว ก็แม่ศรีเมืองบอกเองไม่ใช่รึ ว่าอยากให้แม่เรไรรู้ไว้ จะได้ระวังตัว”
“ แต่ฉันไม่คิดว่าจะเลยเถิดถึงเพียงนี้ แลนึกไม่ถึงว่าแม่หญิงดวงแขจักเจ้าแผนการเช่นนี้ด้วย”
บัวเผื่อนหัวเราะสะใจแล้วว่า
“แม่นี่ช่างเยาว์นัก หากอยากให้แม่เรไรระวังตัว ก็มีแต่ต้องให้เห็นน้ำใจแม่ดวงแขเท่านั้น แลการเลยเถิดก็หาใช่เพราะเราไม่ แต่ด้วยใจแม่ดวงแขร้ายกาจเอง อ้อ แล้วยังคนใกล้ตัวแม่เรไรอีก หากไม่ร่วมมือกัน มีรึ แผนการแม่ดวงแขจะสำเร็จ”
ศรีเมืองหน้านิ่งคิดตามที่บัวเผื่อนพูด ก็ยอมรับว่าบัวเผื่อนพูดก็ถูก บัวเผื่อนยิ้มเล็กยิ้มน้อยสะใจเหลือเกิน

ภายในบ้านหลวงรามเดชะ เรไรกำลังร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าพ่อจะหลอกตนได้ ในขณะที่ลำภูและหลวงรามเดชะก็เครียดหนักที่ลูกรู้ความจริง
“ อย่าร้องไห้อีกเลยแม่เรไร ที่พ่อเจ้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อลูกนะ” ลำภูว่า
เรไรเอาแต่ร้องไห้
“หวังดีด้วยการหลอกลูกจนลูกเข้าใจเสมาผิดเป็นเหตุให้ต้องตัดขาดกันนี่หรือเจ้าคะ”
“แม้จักผิดที่หลอกลวง แต่คุณก็ตกอยู่แก่ลูกมิใช่หรือ ตรองดูเถิด อ้ายเสมาเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้างไปแล้ว หากลูกออกเรือนไปกับมันจะไม่อับอายจนแทรกแผ่นดินหนีรึ”
“ อับอายที่ไร้ยศศักดิ์ ยังดีเสียกว่าออกเรือนกับคนเจ้าเล่ห์สามานย์เยี่ยงขุนณรงค์ พ่อแม่ท่านห่วงแต่ยศศักดิ์จนทำได้แม้แต่ส่งลูกเข้าปากเสือหรือเจ้าคะ”
“แต่...”
“พอเถิดแม่ลำภู เมื่อแม่เรไรตำหนิฉันถึงเพียงนี้ก็ไม่ต้องพูดกระไรกันอีก เมื่อลูกเห็นอ้ายตะพุ่นดีกว่าพ่อแม่ก็ให้ถอนหมั้นกับขุนณรงค์เสีย แล้วไปอยู่กับอ้ายเสมาให้สมใจเถิด” หลวงรามเดชะพูดตัดบท
เรไรน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาท่วมตา
“ แต่งานหมั้นมีแขกเหรื่อมากโข ล้วนแต่เป็นขุนนางท้าวพระยาทั้งสิ้น หากถอนหมั้นแล้วฉันกับคุณหลวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า”
หลวงรามเดชะน้ำตาคลอ ขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ
“จะไว้ที่ใดก็หาสำคัญไม่ ในเมื่อลูกคนเดียวมันรักผู้ชายมากกว่าพ่อแม่ ก็ปล่อยให้มันทำลายศักดิ์ตระกูลไปเสียเลย หากแม่ลำภูทนอับอายไม่ได้ก็กลั้นใจตายเถิด ต่อไปจะได้ไม่มีผู้ใดขัดขวางลูกมันอีก”
เรไรร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
“พ่อท่าน ...”
แม้เรไรจะเสียใจแค่ไหน แต่ต้องเลือกพ่อแม่อยู่ดีแก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินร้องไห้หนีไป

เวลาผ่านไป เจ็ดแปดวัน สมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จประพาสป่าพักผ่อน หลังจากที่ทำสงครามและว่าราชการมานาน ทรงประทับอยู่ในกระโจมเล็กๆทรงอ่านรายงานที่เหล่าขุนนางทูลถวาย โดยมีขุนนางเข้าเฝ้ามากมาย สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จเข้าไปหาสมเด็จพระนเรศวร
พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลแล้วตรัสขึ้น
“เสด็จมาพักผ่อนถึงในป่าดงแล้ว ยังทรงงานอีกรึสมเด็จพี่”
“ งานราชการแผ่นดินมีมากนัก ถึงจักมาเที่ยวเล่น พี่ก็อดห่วงไม่ได้ดอก แล้วน้องเล่าไปที่ใดมา”
“ข้าพระพุทธเจ้าไปตรวจตราทางน้ำพระพุทธเจ้าข้า ด้วยมีฎีการ้องมาว่าคูคลองแถบนี้คดเคี้ยวนัก สัญจรไปมายากเหลือ เมื่อไปเห็นก็สมจริงดังว่า จึงสั่งให้เกณฑ์คนขุดลอกคูคลองขึ้นใหม่แล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“ น้องก็มาพักผ่อนไม่ใช่รึ ยังอดสั่งงานราชการไม่ได้อีก”
สมเด็จพระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสรวลขึ้นพร้อมกัน สืบเนื่องจากงานราชการมีมาก ไม่ใช่แค่ศึกสงคราม แม้แต่งานปกครองก็สำคัญไม่แพ้กันจนแทบไม่มีเวลาพักเลย
สมิงมะตะเบิดปลอมตัวเป็นตะพุ่นหญ้าช้างแอบซุ่มดูพระนเรศวรอยู่ เพื่อรอคอยจังหวะลอบปลงพระชนม์ ขณะนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งเดินเวรยามผ่านมา เมื่อเห็นสมิงมะตะเบิดจึงตวาดขึ้น
“เฮ้ย เอ็งเป็นตะพุ่นไม่ใช่รึ มาทำกระไรที่นี่ ไปเชียว อยากหัวขาดหรือไร”
สมิงมะตะเบิดรีบเดินเลี่ยงไป เวรยามแน่นหนายังหาโอกาสลอบปลงพระชนม์ไม่ได้

มุมหนึ่งในป่า ขันและพุฒกำลังให้ทหารเฆี่ยนตีพวกตะพุ่นจนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดหวาดกลัว เสมา สิน และสมบุญรีบเข้ามาห้ามด้วยหน้าตาตื่นตกใจหันไปพูดกับขัน
“หยุดประเดี๋ยวนี้ เหตุใดต้องเฆี่ยนตีกันด้วย ออตะพุ่นเหล่านี้ไปทำกระไรผิดรึ”
“เอ็งมีศักดิ์กระไรถึงได้มาถามข้า ข้าได้รับคำสั่งให้ดูแลช้างม้าในครานี้ ผู้ใดที่ข้าเห็นว่าผิด ข้าก็ลงโทษได้ทั้งสิ้นแม้แต่เอ็ง อ้ายเสมา” ขันตะคอกใส่แล้วชี้หน้าเสมา
“เอาซีวะ ผู้ใดจะลงโทษพี่เสมาก็ก้าวออกมาให้ข้าดูหน้าเสียหน่อยเถิด” สินบอก
พุฒตวาดชึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอ้ายพันทิพ เอ็งเป็นทหารมียศศักดิ์ อย่ามาเที่ยวออกรับแทนพวกตะพุ่นต่ำช้าเช่นนี้”
“แล้วตะพุ่นไม่ใช่คนหรือไร เมื่อออกขุนดูถูกว่าต่ำช้าก็อย่าขี่ช้างที่พวกตะพุ่นหาหญ้าให้กินซี” สมบุญว่า
ขันและพุฒตั้งท่าจะเถียงอีกแต่เสมารีบขัดขึ้นก่อนเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย
“ออกขุนทั้งสอง หากมีเรื่องใดให้ออกขุนโกรธเคือง ฉันขอขมาแทนเหล่าตะพุ่นด้วยเถิด” เสมากลั้นใจยกมือไหว้ขันและพุฒ
สิน และสมบุญตกใจคิดไม่ถึงว่าเสมาจะยอมไหว้ ขันหัวเราะชอบใจ
“เมื่อถึงขั้นพนมมือไหว้กันเช่นนี้ ข้าก็จักให้ทานสักครั้งก็แล้วกัน”
ขันและพุฒเดินหัวเราะเลี่ยงไปพร้อมด้วยเหล่าทหาร สินนึกเจ็บใจ
“พี่เสมาไปไหว้มันทำไมกัน มันจงใจหาเรื่อง ดูไม่ออกเทียวรึ”
เสมาหันไปพูดกับพวกตะพุ่น
“ไปใส่ยาทำแผลก่อนเถิด งานทางนี้ฉันทำแทนเอง”
พวกตะพุ่นไหว้ขอบคุณเสมาก่อนจะพากันเดินเลี่ยงไป เสมาหันมาพูดกับสิน
“เพราะข้ารู้ว่ามันจงใจ ข้าถึงต้องเลี่ยงเพื่อไม่ให้หลงกลติดกับดักมัน”
สมบุญหงุดหงิด
“แต่พี่ก็ไม่ควรต้องยกมือไหว้ให้เสียศักดิ์”
“ หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงเลือกสู้มากกว่ายอมขมา แต่หลังจากที่ข้าตกต่ำเป็นตะพุ่นครานี้ ข้าจึงรู้ว่า บางคราก็ต้องรู้จักถอยให้เป็นการยอม ไม่ใช่การเสียศักดิ์แต่เป็นการอดทนเพื่อรอเพลาเอาคืนต่างหากเล่า”
สินและสมบุญหันสบตากันเริ่มเข้าใจความคิดของเสมา เสมาพยายามสะกดความเจ็บแค้นใจเอาไว้เพื่อรอวันเอาคืน

การประพาสป่าในครั้งนี้ มีบรรดาข้าหลวง มหาดเล็กตามเสด็จมารับใช้ด้วย เหตุนี้... เรไร ศรีเมือง บัวเผื่อนจึงต้องมากำลังช่วยกันจัดสำรับอาหาร จัดดอกไม้ ฯลฯ
ดวงแขเดินเข้ามาในกระโจม เรไรหันกลับไปเจอดวงแข ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันแต่มึนตึงไม่พูดจากัน ดวงแขเดินเลี่ยงไปหาบัวเผื่อน
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงอ่านฎีกาเสร็จเมื่อใด จะทรงช้างประพาสป่า แม่บัวเผื่อนตระเตรียมเหล่าข้าหลวงไปถวายรับใช้ด้วยล่ะ”
บัวเผื่อนแสร้งตีหน้าตายพลางว่า
“มาบอกกระไรฉัน หน้าที่แม่เรไรไม่ใช่รึ เหตุใดไม่พูดกับแม่เรไรเองเล่า”
ดวงแขถลึงตาใส่บัวเผื่อนที่จงใจแกล้งประชด บัวเผื่อนแกล้งยั่วต่อ
“เอ๊ะ มาถลึงตาใส่ฉันทำกระไร ฉันเพียงแต่บอกให้ไปพูดกับแม่เรไรเพียงนั้น หรือแม่ดวงแขไม่กล้า” บัวเผื่อนพูดพลางยิ้มเยาะ
“ เหตุใดฉันจะไม่กล้า แม่บัวเผื่อนไม่ต้องยุแยงเพื่อให้เห็นเป็นสนุก ฉันหาได้กระทำผิดใดไม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายแม่เรไรก็เห็นดีกับฉันทุกคน ไม่เชื่อก็ไปถามซี”
เรไรหันมาจ้องดวงแขเขม็งพยายามคุมอารมณ์ไว้
“ไม่ต้องถามดอกแม่บัวเผื่อน ฝ่ายที่ผิดคือฉันเอง ผิดตั้งแต่ไว้ใจไม่เคยนึกเฉลียวว่า มิตรรักที่เห็นกันมาแต่เกิด จะคิดคดหักหลังกันได้ลงคอ”
ดวงแขหันมามองหน้าเรไรก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปไม่ยอมรับผิดที่ทำไว้ บัวเผื่อนยิ้มเยาะอย่างสะใจที่เสี้ยมให้ตีกันได้ ศรีเมืองเห็นและได้ฟังเรื่องราวก็ถอนใจ เดินเข้าไปพูดกับเรไร
“ประเดี๋ยวฉันไปถวายรับใช้เองก็ได้จ้ะ แม่หญิงจะได้ไม่ต้องพบเจอกับแม่หญิงดวงแขให้ลำบากใจ”
“ไม่ต้องดอก เป็นหน้าที่ฉัน แล้วฉันก็หาใช่ฝ่ายผิดไม่ เหตุใดต้องหลบหน้าด้วย”
เรไรเดินเลี่ยงออกไป ทิฐิแรงไม่แพ้ดวงแขเหมือนกัน บัวเผื่อนตบตักฉาดอย่างถูกใจ ศรีเมืองเหล่มองบัวเผื่อนพร้อมทิ้งค้อนให้อีกขวับ

บรรดาทหาร ข้าหลวง ต่างคุกเข่าตั้งแถวรอรับเสด็จมาทรงช้างโดยสิน และสมบุญอยู่รวมกันกับพวกทหาร ฝ่ายเรไร และดวงแขอยู่รวมกันกับกลุ่มข้าหลวง ทั้งคู่แอบเหล่ตามองกัน ขณะที่เสมาอยู่รวมกับควาญช้าง ตะพุ่น และเหล่าทาส เพื่อเตรียมช้างให้สมเด็จพระนเรศวรประทับ
ในบรรดากลุ่มตะพุ่นมีสมิงมะตะเบิดร่วมอยู่ด้วย ในขณะที่ทหารพม่าคนอื่นๆปลอมตัวเป็นทาส
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาโดยมีขัน และพุฒตามเสด็จมาด้วย พอสมเด็จพระนเรศวรเดินมาถึงช้างทรง ขันกับพุฒและพวกที่ตามเสด็จก็นั่งคุกเข่าลง
สมเด็จพระนเรศวรยิ้มพอพระทัยกับช้างเชือกนี้
“นี่รึ พลายแสนพลพ่ายลักษณะดีนัก ภายหน้าต้องได้เป็นช้างศึกสำคัญเป็นแน่”
ขันถวายบังคมและกราบทูลว่า
“ขอเดชะ แม้พ่อพลายแสนพลพ่ายจักมีลักษณะดี แต่ก็ดื้อดึงนัก คงต้องฝึกอีกมากพระพุทธเจ้าข้า”
พระนเรศวรแย้มสรวลแล้วตรัสว่า
“ ช้างม้าดีก็ต้องพยศเช่นนี้หล่ะ ไปกันเถิด ข้าได้แต่นั่งช้างออกศึก ไม่ได้นั่งช้างชมป่ามานานหนักหนาแล้ว”
เสมาและพวกตะพุ่น ควาญช้างรีบเข้าไปถวายรับใช้ โดยมีสมิงมะตะเบิดเข้าไปช่วยอีกคน
สมิงมะตะเบิดดึงขอสับช้างซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมา พอได้โอกาส สมิงมะตะเบิดก็พุ่งเข้าประชิดตัวสมเด็จพระนเรศวรกะใช้ขอสับช้างปลงพระชนม์ในระยะประชิด แต่เสมาไวกว่า พอเห็นสมิงมะตะเบิดพุ่งตัวเข้ามาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวางทันที เสมาตะโกนลั่น
“ระวังองค์”
เสมาเข้าขวางได้ทันแต่ก็ถูกขอสับช้างฟันเข้าที่หัวไหล่จนเลือดสาด พุฒตกใจแล้วสั่งเสียงดัง
“กบฏ รีบอารักขาพระพุทธเจ้าอยู่หัว”
พุฒและเหล่าทหารรีบล้อมสมเด็จพระนเรศวรไว้ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาทำร้าย ในขณะที่สมิงมะตะเบิดเมื่อลงมือพลาดไปแล้วก็คิดจะบุกเข้าไปซ้ำ แต่ขันก็ชักดาบเข้ามาฟันใส่สมิงมะตะเบิดก่อน ทั้งคู่เลยต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกทหารพม่าที่ปลอมตัวเป็นทาส ต่างชักอาวุธออกมาฆ่าพวกทหารไทย แล้วก่อความวุ่นวาย ปล่อยช้าง ปล่อยม้าจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด
สิน และสมบุญก็คุมทหารเข้าต่อสู้กับพวกทหารพม่าทันที
พวกข้าหลวงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ก็กรีดร้องวิ่งหนีด้วยความกลัว จนทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก เพราะสับสนวุ่นวายไปหมด
ดวงแขห่วงเสมาสุดๆ รีบวิ่งเข้ามาหาเสมาก่อน
“เสมา เป็นกระไรบ้าง”
เสมามองหาเรไร เห็นเรไรอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่ทหารไทย-พม่าสู้รบกัน ข้าหลวงก็เอาแต่กรีดร้องวิ่งหนี จนบางคนก็ถูกลูกหลงโดนฆ่าตาย
เรไรหวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด
ในขณะนั้นเอง สมิงมะตะเบิดใช้เพลงมวยเล่นงานขันจนร่วงไป ก่อนจะไปคว้าข้อมือเรไรที่อยู่ใกล้ที่สุดไปด้วย ขันวิ่งเข้าไปหมายจะชิงตัวเรไรคืน แต่สมิงมะเบิดก็ใช้เรไรเป็นโล่มนุษย์ทำเอาขันชะงักไป
“แม่หญิง”
สมิงมะตะเบิดฉวยโอกาสต่อยขันจนล้มคว่ำไปอีก
สมิงมะตะเบิดลากเรไรไปขึ้นม้าแล้วขึ้นขี่ม้าหนีไป เสมาตกใจสุดๆจะเข้าไปช่วย แต่ดวงแขรีบห้ามไว้
“แม่หญิงเรไร”
“อย่าเสมา บาดเจ็บเช่นนี้ห่วงตัวเองก่อนเถิด”
เสมาปัดมือดวงแขออกแล้วรีบวิ่งไปหยิบธนูพร้อมลูกศรที่ตกอยู่กับพื้นของทหารคนอื่นที่ทำตกอยู่ติดตัวไป พร้อมกับขึ้นขี่ม้าที่อยู่ใกล้ๆตามไปทันที
ดวงแขเจ็บใจที่เสมาตามเรไรไปได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจ

สมิงมะตะเบิดขี่ม้าพาเรไรหนี โดยมีกลุ่มทหารพม่าควบม้าตามหลังมาด้วย เสมาสะพายธนูควบม้าตามไปอย่างไม่ลดละ
สมิงมะตะเบิดกับพวกควบม้ามาจนถึงทางแยก เลยหยุดดูทิศทางครู่นึง ก่อนจะควบม้าไปตามทางหนีตามวางแผนไว้
จังหวะนั้นเอง เรไรก็แอบฉีกชายผ้าโยนทิ้งไว้ข้างทางเป็นสัญลักษณ์ให้คนที่ตามมาช่วยจะได้ตามถูกทาง
ผ่านเวลาเพียงครู่ เสมาหยิบเศษผ้าที่เรไรทิ้งไว้ขึ้นมาดูอย่างละเอียด พอจะเดาได้ว่า เรไรจงใจทิ้งเอาไว้ เลยรีบควบม้าตามไปทันที

เวลาต่อมา สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับยืนอยู่ในกระโจม มีสมเด็จพระเอกาทศรถ ประทับอยู่ใกล้ๆ โดยมีหลวงรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒ สิน สมบุญ และเหล่าขุนนางพากันเข้าเฝ้า ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดของทหารจำนวนมาก
สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงเคร่งเครียด
“นี่ไม่ใช่คราแรก ที่เราโดนลอบสังหาร แต่ครานี้พวกมันเหิมเกริมนัก กล้าบุกเข้ามาถึงชานพระนคร ย่อมแสดงว่า อโยธยายังไม่ปลอดภัยจากเสี้ยนศึกศัตรูเสียทีเดียว”
พันอินถวายบังคมทูลว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นเพราะพวกข้าพระพุทธเจ้าถวายอารักขาบกพร่อง ขอจงทรงลงพระอาญาด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
“พวกมือสังหารปลอมตัวเป็นทาสแลตะพุ่นปะปนเข้ามา ยากจะโทษว่าพวกเจ้า เพราะหลายปีมานี่อโยธยาแผ่ขยายอาณาเขต มีคนต่างบ้านต่างเมืองเข้ามามากมาย ยากที่จะรู้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง รอเรากลับเข้าวังก่อน แล้วค่อยหาทางป้องกันอีกที”
สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
“แต่ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่วางใจนักเกรงว่า พวกมือสังหารอาจจักปลอมตัวปะปนอยู่ ขอสมเด็จพี่รีบเสด็จกลับเข้าวังเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“แล้วเหตุทางนี้เล่า มีผู้คนตายแลช้างม้ายังเตลิดหนีไปไม่น้อย อีกทั้งบุตรีหลวงรามเดชะยังถูกจับตัวไปอีก”
ขุนรามเดชะถวายบังคมทูลว่า
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยพระพุทธเจ้าข้า แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอจัดการเรื่องราวทางนี้เอง อย่าทรงกังวลเลยพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรพยักพระพักตร์รับ
“เมื่อเจ้ายืนยันเช่นนั้นก็ตามใจเถิด”
สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จออกจากกระโจมไป
“แม่หญิงเรไรถูกจับตัวไปเช่นนี้แล้วจะตามพบรึ” ขันว่า
“เผื่อใจไว้บ้างเถิด พวกมันหลบหนีรวดเร็วแสดงว่าวางแผนล่วงหน้ามาอย่างดีแล้ว คงยากที่จะตามเจอ” พุฒบอก
สมบุญยิ้มเยาะ
“ก็ไม่แน่นักดอก พี่เสมาตามไปด้วยตนเองอาจจะพาแม่หญิงเรไรกลับมาก็เป็นได้”
“เป็นถึงคู่หมั้นแต่ไม่มีปัญญาปกป้อง ต้องยืมมือตะพุ่นหญ้าช้าง” สินว่า
สิน และสมบุญหัวเราะเยาะ ขันจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่พุฒรีบดึงมือห้ามไว้เพราะไม่อยากมีเรื่องตอนนี้ ขุนรามเดชะสีหน้าเคร่งเครียด เป็นห่วงเรไรที่สุด

ในป่า … สมิงมะตะเบิดกับเหล่าทหารพม่ากำลังกินน้ำในลำธาร โดยมีเรไรนั่งอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางหวาดกลัว ทหารคนหนึ่งหันไปมองเรไร
“มาไกลพอควรแล้วฆ่านังนี่ทิ้งเสียเถิด เป็นเพราะเอามันมาด้วยจึงหนีได้ช้านัก”
“ที่ข้านำนางมาเพราะดูจากการแต่งกายแล้วคงมีศักดิ์สูงในฝ่ายใน แลตอนต่อสู้ ข้าใช้นางเป็นโล่ อ้ายทหารอโยธยาคนนั้นกลับไม่กล้าทำกระไรแสดงว่านางคงสำคัญไม่น้อย ข้าจึงนำนางมาเผื่อใช้เป็นตัวประกันได้” สมิงมะตะเบิดว่า
ทหารอีกคนเดินเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ยหาเรไรพลางจะปลุกปล้ำ
“ใช้เป็นตัวประกันอย่างเดียวก็น่าเสียดาย ให้ข้าได้ลิ้มรสสตรีอโยธยาสักหน่อยเถิด”
เรไรร้องลั่นด้วยความกลัวและพยายามสู้ปัดป้องเต็มที่
“อย่าเข้ามานะ”
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ศักดิ์ศรีทหารสังกัดแห่งข้า แม้จะฆ่าคนแต่ไม่ย่ำยีสตรีเพศ” สมิงมะตะเบิดดุใส่
ทหารทั้งสองคนไม่ฟังคำทัดทานเพราะหักห้ามใจไม่ไหวจึงปลุกปล้ำเรไรต่อ เรไรกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พวกทหารคนอื่นๆต่างยืนดูแล้วยิ้มขำเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ
ทันใดนั้น สมิงมะตะเบิดก็ชักมีดสั้นออกมาแล้วปาปักแทงทะลุหัวใจขาดใจตายทันทีท่ามกลางความตกใจของทุกคน เรไรดังนั้นก็กรีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัวจับใจ
สมิงมะตะเบิดเหล่ไปทางทหารคนอื่น ทุกคนกลัวจนหน้าซีดไม่มีใครกล้าหือซักคน เรไรถอยกรูดกอดกระชับตัวให้มิดชิดสีหน้าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต

ภายในกระโจมนางข้าหลวง บัวเผื่อน ศรีเมือง และข้าหลวงคนอื่นกำลังช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อตามเสด็จกลับ มีแต่ดวงแขที่ยืนหน้าเครียดโดยไม่ทำอะไร เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่เสมาตามไปช่วยเรไร บัวเผื่อนเก็บของไป บ่นไป
“เพิ่งจัดของได้ไม่ทันไร ก็ต้องเก็บกลับเสียอีกแล้ว”
“ก็ยังดีกว่าเสี่ยงภัยเป็นไหนๆ แม่หญิงไม่เห็นรึว่า มีทั้งตายแลบาดเจ็บ ช่างน่ากลัวนัก” ศรีเมืองว่า
“แล้วแม่ดวงแขไม่เก็บของรึ อีกไม่นาน พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็จะเสด็จกลับแล้ว” บัวเผื่อนพูดพลางหันไปมองดวงแข
ดวงแขหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ ฉันไม่มีข้าวของกระไรดอก แม่บัวเผื่อนเก็บข้าวของตนไปเถิด”
ศรีเมืองเห็นท่าทางดวงแขหงุดหงิดก็แปลกใจหันไปกระซิบถามบัวเผื่อน
“แม่ดวงแขโกรธกระไรรึ แม่หญิงบัวเผื่อน”
บัวเผื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจพูดให้ดวงแขได้ยิน
“ไม่ได้โกรธดอก แต่คงห่วงใยแม่เรไรน่ะ ที่จริงก็ไม่ต้องอาทรร้อนใจดอก เสมาตามไปช่วยทั้งคน อย่างไรเสีย แม่เรไรก็ต้องปลอดภัยทั้งกายแลทั้งใจ” พูดแล้ว บัวเผื่อนก็ขำๆเยาะหยันดวงแข
ดวงแขหันมามองบัวเผื่อนตาเขียวปั้ด ก่อนจะสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป บัวเผื่อนหัวเราะเยาะตามหลัง ศรีเมืองมองบัวเผื่อนแล้วก็ถอนใจส่ายหน้าพลางคิดว่า นิสัยของบัวเผื่อนนี่ช่างคบยากจริงๆ

ในป่ายามเย็น สมิงมะตะเบิดควบม้าพาเรไรพร้อมกับพวกทหารพม่า ทันใดนั้นก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าปักอกทหารพม่าคนหนึ่งจนขาดใจตายคาหลังม้าทันที พวกสมิงมะตะเบิดตกใจคาดไม่ถึง
สมิงมะตะเบิดตั้งสติรีบตะโกนสั่ง
“รีบลงจากหลังม้า หาที่ซ่อนเร็ว”
สมิงมะตะเบิดรีบพาเรไรลงจากหลังม้าแล้วหาที่ซ่อนเช่นเดียวกับพวกทหารพม่า ฝ่ายเสมาใช้ต้นไม้เป็นที่ซ่อนตัว แล้วดักเล่นงานพวกสมิงมะตะเบิดทีละคนจนตายไปด้วยลูกธนู
ทหารคนหนึ่งเห็นเพื่อนตายไปจึงหันไปเห็นสีมาเข้าพอดี
“มันอยู่โน่น”
พวกทหารพม่ารีบกรูกันเข้าไปเพื่อหมายจะฆ่าเสมา แต่พอไปถึง เสมาก็หายตัวไปแล้ว พวกทหารพม่าพากันมองหาเสมา ลูกธนูของเสมาก็ยิงลงมาจากต้นไม้ใส่ทหารพม่าตายไปอีกคน ทุกคนตกใจพอเงยหน้ามองขึ้นไป เสมาอยู่บนต้นไม้ก่อนจะกระโดดลงมา ใช้คันธนูฟาดเข้าใส่ทหารพม่าที่รุมกันเข้ามา เสมาใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าต่อสู้ เพียงไม่นานก็แย่งดาบจากทหารพม่าคนหนึ่งได้ แล้วไล่ฆ่าทหารพม่าตายจนหมดทุกคน
“เสมา”
เสมาหันกลับไปตามเสียงเห็นสมิงมะตะเบิดกำลังจับข้อมือเรไรอยู่ห่างออกไปพอสมควร เสมาเดินเข้าไปหาแล้วบอก
“ปล่อยแม่หญิงเสีย หากเอ็งเป็นชายจริงก็อย่าใช้สตรีเป็นตัวประกัน”
สมิงมะตะเบิดมองไปรอบๆแล้วถาม
“เอ็งมาคนเดียวรึ”
“แน่แล้ว”
สมิงมะตะเบิดยิ้มเล็กน้อย
“หากเช่นนั้น ข้าจะเห็นแก่ความกล้าของเอ็ง”
สมิงมะตะเบิดยอมปล่อยตัวเรไร แม่หญิงเรไรรีบวิ่งไปหลบไปคอยดูเสมาด้วยความห่วงใย สมิงมะตะเบิดตั้งท่าสู้ด้วยมือเปล่า เสมาก็โยนอาวุธทิ้งไป แล้วตั้งท่ามวยไทยเข้าสู้ ทั้งคู่ย่างสามขุมเข้าหากันพอได้ระยะก็สู้กันอย่างดุเดือดทันที ทั้งคู่ฝีมือสูสีกันมาก ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว ดุเดือด พอใครโดนเข้าไป ก็เอาคืนได้ทันควัน ชนิดไม่มีใครยอมใคร
สมิงมะตะเบิดได้จังหวะก็เตะเข้าใส่ที่หัวไหล่เสมาที่โดนขอสับช้างฟัน เสมาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนกัดฟันจะเอาคืน สมิงมะตะเบิดเห็นจุดอ่อนของผู้ต่อสู้เลยเตะต่อยซ้ำไปที่แผลเสมา จนเสมาเลือดไหลโชก เจ็บปวดจนต้องล่าถอยไม่เป็นกระบวน
เรไรลุ้นใจเต้นไม่เป็นระส่ำด้วยความเป็นห่วงเสมา เสมาพลิกตัวหลบออกไปแล้วหยิบธนูขึ้นมายิงใส่สมิงมะตะเบิด แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้กำลังแขนของเสมาลดลงไป สมิงมะตะเบิดเลยคว้าลูกศรที่ยิงมาไว้ได้อย่างง่ายดาย อาการบาดเจ็บที่แขนเสมารุนแรงหนักขึ้นจนเสมาต้องยอมทิ้งคันธนูด้วยความเจ็บปวด
สมิงมะตะเบิดหักลูกธนูทิ้งแล้วยิ้มเหี้ยม ก่อนจะเดินเข้าหาเสมาช้าๆ แม้เรไรจะเป็นห่วงเสมาสุดๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
ทันใดนั้นก็มีเสียงช้างร้องดังขึ้นลั่นป่า
“เสียงช้างศึก มีคนมาช่วยแล้ว” เรไรพึมพำขึ้นก่อนตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ๆ”
สมิงมะตะเบิดตกใจพลางคิดว่า หากมีกองทัพตามมาจริงก็ยากที่สมิงมะตะเบิดตนจะรับไหวแล้วมองเสมาด้วยความเสียดาย สมิงมะตะเบิดรีบหนีไปทันที
เรไรก็รีบเข้าไปหาเสมาด้วยความเป็นหวงในทันที
“เสมา เป็นกระไรบ้าง”
เสมาบาดเจ็บเลือดไหล แต่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้น
ขณะนั้นเอง ช้างตัวหนึ่งก็เดินเยื้องย่างออกมาจากป่า ที่แท้เป็นพ่อพลายแสนพลพ่ายที่สมเด็จพระนเรศวรจะทรงประทับ เรไรนึกไม่ถึง
“นั่นช้างทรงนี่เสมา”
เสมายิ้มดีใจพลางลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดู
“พ่อพลายแสนพลพ่ายคงจะเตลิดหนีมาเป็นแน่ ข้าพระเจ้าให้หญ้าให้อ้อยมาเป็นแรมเดือน พ่อพลายได้ยินเสียงข้าพระเจ้าเลยจำได้จึงเข้ามาหา ขอบน้ำใจนักพ่อพลายเอ๋ย”
เรไรยิ้มแย้มลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดูและรักใคร่เช่นกัน
เสมาชำเลืองมองหน้าเรไรทอดความห่วงหาผ่านทางสายตา
“ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่แม่หญิงปลอดภัย”
เรไรชำเลืองมองเสมาแล้วสบตากัน
“ขอบน้ำใจเสมานักที่เสี่ยงตายมาช่วยฉัน”
“ชีวิตเสมามอบให้แล้วแต่แม่หญิง เสมาพร้อมสละสิ้นเพื่อปกป้องแม่หญิงผู้เป็นดวงใจของเสมา” เสมาบอกพลางส่งสายตาหวานเชื่อมและรอยยิ้ม
เรไรหลบสายตาไปด้วยความเอียงอาย
พ่อพลายแสนพลพ่ายเดินช้าๆมาในป่าโดยมีเสมา และเรไรขี่อยู่บนหลังช้างในเวลาต่อมา เรไรพันผ้าทำแผลให้เสมาบนหลังช้าง เสมาจับมือเรไรแล้วมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรเขินอาย หลบสายตาเสมา

อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11 วันที่ 30 พ.ค. 55
ละคร ขุนศึก บทประพันธ์โดย :ไม้เมืองเดิม/สุมทุม บุญเกื้อ
ละคร ขุนศึก กำกับการแสดงโดย: อดุลย์ บุญบุตร
ละคร ขุนศึก บทโทรทัศน์ละครโดย: เอกลิขิต
ละคร ขุนศึก ผลิตโดย: บริษัท ที.วี.ซีน จำกัด
ละคร ขุนศึก แนวละคร : ดราม่า - อิงประวัติศาสตร์
ละคร ขุนศึก ออกอากาศทุกวัน : จันทร์ -อังคาร เวลา 20.30 ทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ละคร ขุนศึกนำแสดงโดย: อั้ม อธิชาติ, พลอย เฌอมาลย์, เบนซ์ พรชิตา,วรฤทธิ์,นิรุตติ์, ตุ้ย , โก , โดนัท
ที่มา ไทยรัฐ
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ