อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11-3 วันที่ 31 พ.ค. 55

{[['']]}

อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11-3 วันที่ 31 พ.ค. 55
ทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือกระจายกำลังล้อมเสมากับตะพุ่นคนอื่นๆไว้ ท่ามกลางการสั่งงานของขัน และพุฒ ตะพุ่นคนอื่นๆกลัวจนตัวสั่น แต่เสมาก้าวออกมาด้วยหน้าตาเฉย

“นี่มันกระไรกันออกขุน พวกฉันทำผิดกระไร ถึงได้ให้ทหารมาล้อมกันเช่นนี้” เสมาถาม
“เอ็งยังมีหน้ามาถามอีกว่าทำผิดกระไร รู้หรือไม่ว่าช้างที่ออกไปฝึกวันนี้ ขี้เหลวทุกช้าง พวกเอ็งให้กินกระไรผิดสำแดงถึงได้เป็นเช่นนี้” พุฒพูดตะคอก
“ก็กินเหมือนเช่นทุกวัน จะผิดสำแดงได้กระไร” เสมาว่า
“เอ็งยังกล้าเถียงอีกรึ อีกไม่นานจะมีศึก ช้างทุกช้างล้วนสำคัญนัก พวกเอ็งดูแลไม่ดี เห็นทีจะมีพวกข้าศึกปลอมตัวมาอีกกระมัง ทหาร จับตัวพวกมันไปให้หมด” ขันตะคอก
พวกทหารตั้งท่า แต่ทันใดนั้น สิน และสมบุญก็ถืออาวุธเข้ามาก่อน
“ผู้ใดกล้าแตะต้องพี่กูก็ต้องปะมือกับกูก่อน” สินตวาดลั่น
พวกทหารฝ่ายขันรู้ฝีมือของสมบุญกับสินดีและเห็นเรื่องชักจะบานปลายก็ลังเล
“อ้ายพันเทพ พันทิพ นี่พวกเอ็งคิดกบฏรึ” ขันว่า
“มากไปเสียแล้ว เพียงแค่ช้างขี้เหลวก็ยัดข้อหากบฏ ถ้าออกขุนทั้งสองเห็นว่าผิดนัก ก็เชิญท่านออกญาทรงมาตัดสินเถิด ไม่ใช่จับกุมลงโทษกันเองเช่นนี้” สมบุญบอก
“เรื่องเพียงนี้ จะกวนใจท่านออกญาไยกัน” พุฒพูดขึ้น
“ชะช้า อ้ายพุฒ เอ็งร้องออกลั่นว่ามีกบฏบ้าง มีข้าศึกปลอมตัวบ้าง แต่พอจะตามท่านออกญากลับว่าเป็นเรื่องเล็ก” สินว่าอย่างรู้ทัน
ขัน และพุฒเหล่มองกันเห็นว่าคงยัดข้อหาไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องไต่สวนเรื่องข้าศึกปลอมตัวก็ได้ แต่ช้างขี้เหลวพวกตะพุ่นต้องรับโทษ”

ขุนพูดแล้วก็หันไปสั่งทหาร
“ทหาร โบยพวกมันตามกฎคนละสิบที”
พวกตะพุ่นรู้ว่าจะถูกโบยก็กลัวจับใจ สินชักโมโห
“ นี่เอ็งคิดจะโบยพี่เสมาเชียวรึอ้ายขัน เอาวะ กบฏก็กบฏ ก่อนกูจะถูกบั่นคอ ขอตัดหัวมึงก่อนเถิด” ว่าแล้วสินก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ เสมาร้องห้ามแล้วหันไปพูดกับขัน
“อย่าอ้ายสิน หากเอ็งรักข้าอย่าทำเช่นนี้ … ผู้ให้หญ้าช้างตอนเช้าเป็นฉันเอง ถ้าจะโบยก็โบยฉันคนเดียวเถิด”
สมบุญตกใจแล้วพูดขึ้น
“ พี่เสมา ไม่ต้องกลัวพวกฉันเดือดร้อนดอก อย่ายอมพวกมันเช่นนี้อีกเลย”
“ว่ากระไรเล่าขุนณรงค์” เสมาถาม
ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
“อย่างไรก็ต้องรับโทษร่วมกัน หากเอ็งจะออกหน้าก็ต้องรับโทษโบยในส่วนของอ้ายตะพุ่นอื่นด้วย”
“ได้”
สิน และสมบุญกัดฟันเจ็บใจ แต่เสมาใจสมัครยินยอมเองก็ไม่รู้จะว่ายังไง
เสมานอนลงกับพื้น ทหารขันเอาหวายมาให้ ขันยิ้มร้ายๆ แล้วโบยเสมาเต็มแรงด้วยความสะใจ เสมาขบกรามแน่น ไม่ร้องแม้แต่คำเดียวปล่อยให้ขันโบยตามใจ
พันจิตเสน่หาทหารรุ่นเดียวกับสินและสมบุญ ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาความชื่นชม แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในจิตใจลูกผู้ชายเลือดนักสู้ของเสมา

สิน และสมบุญประคองเสมาที่ถูกโบยจนเจ็บหนักมานั่งพักที่หน้ากระท่อมสมบุญเมื่อเวลาเย็น
“พี่ไม่น่ายอมมันเลย พวกเรา3 คนก็เกินพอที่จะหักหนีแล้ว” สินบอก
สมบุญเห็นด้วยกับสิน
“นั่นซีพี่ พวกอ้ายขันต้านไม่อยู่ดอก”
“หนีได้แล้วมีกระไร ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนที่ข้าเคยทำกระนั้นรึ เชื่อข้าเถิดที่อ้ายขัน อ้ายพุฒทำเช่นนี้ ก็เพื่อหาเหตุใส่ความจักฆ่าข้า ยอมเจ็บแต่เพียงนี้ แต่รักษาชีวิตเอาไว้เถิด” เสมาว่า
“พ่อพูดต้องใจฉันนัก”
เสียงหนึ่งดังขึ้น เสมา สมบุญและสินหันไปมองด้วยความประหลาดใจ พันจิตเสน่หาเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาเสมา แล้วพูดเตือนว่า
“คนเราหากลุแก่โทสะโดยง่าย คงต้องหลงกลผู้อื่นอยู่ร่ำไป”
สมบุญมองเขม่นแล้วถาม
“เอ็งเป็นใครวะ”
“ฉันชื่อพันจิตเสน่หา เป็นทหารในพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อย”
เสมา สมบุญ และสินมองพันจิตด้วยท่าทีเป็นสงสัย
“เมื่อตอนบ่าย ฉันผ่านไปที่โรงเลี้ยงช้าง จึงเห็นเหตุทั้งหมดเข้า พ่อตะพุ่นมีน้ำใจแลความอดทนนัก ฉันจึงนึกเสียดายที่พ่อต้องเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างต่อไป จึงอยากมาชวนพ่อไปรับราชการเป็นทหารด้วยกัน”
“ชวนไปเป็นทหารรึ รู้หรือไม่..” สมบุญพูดแล้วหัวเราะ
เสมารีบพูดแทรกสมบุญขึ้น
“ขอบน้ำใจหัวพันมากนัก แต่ฉันมีศักดิ์เสมอทาสไม่คู่ควรเป็นทหารดอก”
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทรงใช้คนตามฝีมือ หาใช่ศักดิ์ตระกูลไม่ หากพ่อตะพุ่นอยากเป็นทหารจริง อีกไม่กี่วัน จะมีการประลองคัดคนเข้าเป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราช พ่อก็ลองไปดูเถิด หากมีวาสนา ก็จะได้เป็นทหารสมใจ”
สมบุญเริ่มตื่นเต้น
“ ได้เป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราชเชียวรึ เช่นนี้ก็ไม่ต้องสังกัดมูลนายอื่นน่ะซี”
พันจิตหัวเราะ
“จะต้องสังกัดทำกระไร ได้ขึ้นตรงแต่สมเด็จพระอนุชาธิราชประเสริฐกว่าสังกัดมูลนายอื่นมากมายนัก”
สินและสมบุญตื่นเต้นดีใจแทนเสมา ขณะที่เสมาเริ่มมีรอยยิ้ม ความหวังที่จะได้กลับเป็นทหารอีกครั้ง อยู่อีกไม่ไกลแล้ว

เอื้อยแตงเป็นคนวางสำรับกับข้าวซึ่งถูกจัดและตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงต่อหน้าเรไร เอื้อยแตงทำท่าเชิ่ดๆ มองเรไรด้วยสายตาท้าทาย เรไรยิ้มบางๆ ก่อนจะชิมกับข้าวในสำรับ เอื้อยแตงมองลุ้นๆว่า หลังจากเรไรชิมแล้วจะเป็นอย่างไร
เรไรพยักหน้ารับแล้วบอก
“ถือว่าใช้ได้”
เอื้อยแตงตบเข่าฉาด ในที่สุดก็เอาชนะเรไรได้
“เป็นกระไรเล่า ฉันบอกแล้วว่าแค่ทำกับข้าวจะยากกระไรนัก”
“ฉันสอนเสียเกือบสิบวันเพิ่งทำเข้าขั้นได้สองสามอย่าง ก็คุยโตแล้วรึ แม่เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงยิ้มแหยๆ
“พรึ่งนี้ฉันต้องกลับเข้าวังแล้ว แม่เอื้อยอยู่ทางนี้ ก็ตั้งใจฝึกฝนตามที่ฉันสอนให้ดี ออกจากวังคราหน้า ฉันจะทดสอบอีก”
“ใช่ว่าฉันรู้ไม่เท่าดอกนะ ที่เคี่ยวเข็ญสอนฉันทำกับข้าวก็เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ว่างไปเร่ขายของในตลาดใช่หรือไม่” เอื้อยแตงหน้าบึ้งตึงถามขึ้น
เรไรยิ้ม ไม่ตอบว่าอย่างไร
“ฉันหาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดต้องรังเกียจคนค้าขายถึงเพียงนี้ ไม่ว่าฉันหรือพี่เสมาก็ไม่ได้กระทำชั่วช้า แต่กลับถูกตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์”
เรไรหน้าขรึมลงเมื่อเอื้อยแตงพูดถึงเสมา เพราะเหตุที่เรไรกับเสมาลงเอยกันไม่ได้ก็เพราะเรื่องที่เสมาเป็นช่างตีดาบนี่แหละ

เรไรกำลังเดินคุยกับเอื้อยแตงอยู่ในสวน
“ฉันไม่ได้รังเกียจคนค้าขายดอก แต่ขุนน้ำขุนนางหากต้องตากหน้าง้องอนใคร ก็ถือว่าเสียเกียรตินัก พ่อแม่ท่านจึงไม่ยินดีที่แม่เอื้อยแตงไปเร่ขายของ”
“เสียเกียรติ ถ้ากระนั้นพวกขุนนางก็อย่าซื้อของซี อยากได้กระไรก็ให้บ่าวไพร่มันทำให้เสียทุกเรื่องเป็นเช่นไร”
“อย่าประชดประชันเลย ถึงพ่อแม่ท่านไม่สบายใจ ก็ไม่เคยออกปากห้ามแม่เอื้อยแตงไม่ใช่รึ นั่นก็เพราะท่านรักเมตตาแม่เอื้อยว่าเป็นหลาน ถึงไม่ถูกใจแต่ก็ยอมลงให้อย่างไรเล่า”
เอื้อยแตงหน้าขรึมลง
“แม่หญิงเรไรพูดเช่นนี้จะให้ฉันเลิกขายของใช่หรือไม่”
เรไรยิ้มแย้มเข้าทาง
“แม่เอื้อยแตงเป็นคนฉลาด ฉันไม่ได้บังคับใจดอกนะ แต่แม่เอื้อยลองตรองดูเองเถิด”
“ฉันก็ไม่อยากให้ท่านลุงกับท่านป้าไม่สบายใจดอก แต่ฉันเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่เรือนเฉยๆ ที่นี่มีบ่าวไพร่พรั่งพร้อมจนฉันไม่รู้จะทำกระไรแล้ว”
“ถ้าเบื่อหน่ายก็เรียนทำกับข้าวหรือทำงานเรือนกับฉันซี แม่เอื้อยแตงเคยหมิ่นว่าชาววังทำแต่งานพวกนี้ หาคุณกระไรไม่ได้ บัดนี้คงรู้แล้วกระมัง ว่างานพวกนี้หาได้ง่ายดายไม่”
เอื้อยแตงเริ่มลังเลตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาไงดี
ขณะนั้นเอง พิณก็เข้ามาหาเรไรแล้วคุกเข่าลง
“แม่หญิงเอื้อยแตงเจ้าคะ พันทิพศักดิ์มาขอพบเจ้าค่ะ”
“ เย็นป่านฉะนี้แล้ว อ้ายสินมาทำกระไรอีก มันบอกหรือไม่แม่พิณ”
“พันทิพบอกว่าตะพุ่นเสมาต้องโทษโบยหวายเจ้าค่ะ เพลานี้ปวดระบมจนได้ไข้ แต่มียาไม่พอจึงมาขอปันยาไปรักษาตะพุ่นเจ้าค่ะ”

เรไรและเอื้อยแตงต่างตกใจมากที่รู้ว่า เสมาโดนโบยจนไข้ขึ้น เรไรห่วงใยเสมาจับใจ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้
กระท่อมสมบุญตอนหัวค่ำ เสมานอนบนใบตองที่ปูรองไว้บนพื้นเรือน ไข้ขึ้นสูงไม่ได้สติอยู่ จำเรียงกำลังใช้ผ้าเช็ดตัวให้เสมา โดยมีเอื้อยแตง และสิน คอยดูเสมาอยู่ใกล้ๆ

“ต้องโทษโบยหรือคิดจะฆ่ากันแน่” เอื้อยแตงพูดด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าอ้ายขันมันทำได้ มันก็คงจะทำไปแล้ว” สินพูดด้วยความแค้นใจ
สมบุญยกยาหม้อเข้ามาให้เสมาแล้วรินยาใส่ถ้วย
“ทั้งยากินยาทาก็หมดสิ้นแล้ว แม่เอื้อยแตงมีเพียงเท่านี้เองรึ”
“เพียงเท่านี้ ก็ได้แม่หญิงเรไรฝากมาดอก ฉันเองหามีไม่ ประทังไปก่อนเถิด เช้าเมื่อใดค่อยไปหาซื้อ” เอื้อยแตงว่า
จำเรียงรับถ้วยยาจากสมบุญ แล้วประคองเสมาขึ้นดื่ม
“แต่ฉันเป็นน้องพี่เสมามา ไม่เคยเห็นพี่เสมาเจ็บหนักเหมือนครานี้เลย แล้วนี่จะหายทันคัดเลือกทหารหรือ” จำเรียงพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“คัดเลือกทหารกระไรกัน” เอื้อยแตงถาม
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวองค์น้อย ทรงมีรับสั่งจะคัดทหารรักษาวังเพิ่ม พี่เสมาตั้งใจจะไปคัดเลือกด้วย” สมบุญว่า
“ฝีมือเยี่ยงพี่เสมา หากไม่เจ็บไข้ ย่อมต้องได้คัดเลือกเป็นแน่ ครานี้ก็จะได้กลับไปเป็นทหารพ้นจากตะพุ่นเสียที อ้ายขันอ้ายพุฒจะกลั่นแกล้งไม่ได้อีก” สินบอก
เสมายังคงนอนไร้สติเพราะพิษไข้ ไม่รู้จะหายทันคัดเลือกหรือไม่

เรไรรออยู่บนเรือนหลวงรามเดชะด้วยความกระวนกระวายใจ เอื้อยแตงเดินกลับขึ้นเรือนมา เรไรเข้าไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วงเสมา
“เป็นกระไรบ้าง”
“ฉันรึ ก็สบายไม่เจ็บไม่ไข้กระไร” เอื้อยแตงแกล้งยั่ว
“ แม่เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงยิ้มขำๆแล้วบอกว่า
“พี่เสมาโดนโบยเสียหลังแตกยับ ได้ไข้ตัวร้อนเป็นไฟ ตอนฉันกลับยังไม่ฟื้นเลย”
เรไรหน้าเสียห่วงเสมาจับใจ เอื้อยแตงพอเห็นสีหน้าเรไรก็ใจอ่อน
“ พี่เสมาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป แลมีคนเฝ้าไข้อยู่หลายคน พรึ่งนี้ได้ยาก็คงดีขึ้น แม่หญิงไม่ต้องกังวลไปดอก แต่ที่ฉันหาเข้าใจไม่ คือเมื่อแม่หญิงห่วงพี่เสมาเช่นนี้ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ตามไปด้วยกันเล่า”
เรไรหน้าขรึมลง
“ฉันมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วจะทำกระไรก็ต้องนึกถึงเกียรติของตนแลคู่หมั้น แม้จะไปเยี่ยมไข้ แต่ก็เป็นชายที่เคยมีใจด้วย หาเหมาะควรไม่”
“แต่แม่หญิงถูกหลอกไม่ใช่รึ เหตุใดไม่ถอนหมั้นเล่า”
“หากถอนหมั้น พ่อแม่ท่านต้องเสียหน้านักฉันทำไม่ได้ดอก”
เอื้อยแตงได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้า
“เป็นแม่หญิงนี่ลำบากแท้ จะทำสิ่งใดก็ต้องกลัวเสียเกียรติ เสียหน้าตาอยู่ร่ำไป”
“หากแม่เอื้อยแตงเคยทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจมามากเช่นฉัน ก็จักเข้าใจ ว่าเหตุใดฉันต้องทำเช่นนี้”
เรไรหน้าเศร้าด้วยความอัดอั้นตันใจ เอื้อยแตงมองเรไรนิ่ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเห็นใจเรไร และเริ่มเข้าใจเรไรมากขึ้น

เช้าวันรุ่งขึ้น ขันและพุฒพร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาในกระท่อมสมบุญ ขณะที่จำเรียงกำลังดูแลเสมาที่นอนป่วยไม่ได้สติอยู่ ขันตวาดลั่น
“เฮ้ย เอาตัวมันไป”
พวกทหารกรูกันเข้ามาจะดึงตัวเสมาไป ทั้งๆที่เสมายังป่วยหนัก จำเรียงตกใจมากร้องถาม
“จะทำกระไรกัน คนป่วยเจียนตายไม่เห็นรึ”
จำเรียงจะเข้าไปช่วยเสมาก็ถูกทหารผลักออกมา
ทันใดนั้น สมบุญก็เข้ามาในกระท่อมด้วยความโกรธจัด ชักดาบคู่มือเตรียมสู้ พุฒตะคอกขู่
“มึงคิดกบฏรึอ้ายสมบุญ”
“มึงอย่ามาใส่ความกู พวกมึงบุกมาถึงเรือนกู แล้วยังทำร้ายพี่เสมาอีก จะมาหาว่ากูกบฏได้อย่างไร”
“กูไม่ได้ทำร้ายอ้ายเสมา แต่กูจะเอามันไปทำงาน มันเป็นตะพุ่นหญ้าช้างมีหน้าที่เกี่ยวหญ้าให้ช้างกิน จนป่านฉะนี้แล้วมันยังไม่ทำงาน จะไม่ให้กูมาตามได้กระไรวะ”
“พี่เสมาเจ็บหนักได้ไข้สูงเพียงนี้ ยังจะให้ไปเกี่ยวหญ้าอีกรึ” จำเรียงว่า
“ถ้ามันไม่ตายก็ต้องไป ช้างศึกไม่มีหญ้ากิน รู้หรือไม่ว่าโทษสถานใด” ขันบอก
“ตะพุ่นไม่ได้มีพี่เสมาคนเดียว ให้คนอื่นทำแทนก่อนก็ได้”
“ตะพุ่นคนอื่นก็ต้องเลี้ยงช้างตัวอื่น ใครจะว่างมาทำแทนกัน เอ็งไม่รู้กระไร ก็หุบปากไปเถิดนังจำเรียง”
สมบุญเก็บดาบเข้าฝักด้วยความแค้นใจ
“ถ้ากระนั้นกูจะเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างแทนพี่เสมาเอง เช่นนี้แล้ว พวกมึงคงหมดข้ออ้างแล้วใช่หรือไม่”
ขันและพุฒหันไปสบตากัน ไม่คิดว่า ยศขนาดสมบุญจะยอมลดตัวไปทำงานทาส ใจจริงอยากเล่นงานเสมามากกว่า แต่เมื่อสมบุญอ้างแบบนี้ก็จำต้องยอม
ขันและพุฒเดินหัวเสียนำทหารกลับออกไป จำเรียงชำเลืองมองสมบุญด้วยสายตาเป็นห่วง
“ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ดูแลพี่เสมาให้ดีเถิด”
จำเรียงมองตามสมบุญที่เดินตามขันและพุฒออกไปด้วยความซาบซึ้งใจในน้ำใจจนน้ำตาคลอขึ้นมา

สินเดินถือห่อยาใหญ่สองห่อมาอย่างอารมณ์ดี เพื่อจะไปขึ้นเรือของตนที่ผูกเอาไว้ที่ท่าเรือ ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนทักดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ประเดี๋ยวก่อนอ้ายน้องชาย”
สินหันกลับไป เห็นขุนจำนงซี่งเป็นขุนวังสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระเอกาทศรถยืนอยู่ด้านหลัง ตัวขุนจำนงนั้นเป็นคนหยิ่งยโส มีฝีมือเพลงทวนเป็นเลิศ
“พี่ชายมีกระไรรึ” สินถาม
ขุนจำนงชี้ไปที่ห่อยา
“ยาสองห่อนั่นเป็นยาสมานแผลแลรักษาบอบช้ำของขุนรักษาใช่หรือไม่”
“ใช่จ้ะ ฉันเพิ่งซื้อมาเมื่อครู่เอง”
“ขายต่อให้ข้าเถิด ข้าตั้งใจจะไปซื้อกับขุนรักษาแต่หมดเสียก่อน ต้องรออีกสองสามวันกว่าที่ปรุงใหม่จะเสร็จ ข้าไม่อยากรอ จักขอซื้อต่อเอ็ง”
“พี่ชายจะเอาไปรักษาคนรึ ถ้ากระนั้นฉันปันให้ก็ได้ ไม่ต้องซื้อดอกจ้ะ”
ขุนจำนงวางมาดข่ม
“เปล่าดอก ข้าไม่ได้เอาไปรักษาใคร แต่ข้าเป็นทหาร อ้ายพวกที่อยู่ในสังกัดข้ามันซ้อมมือบาดเจ็บกันอยู่เนืองๆ ข้าจึงต้องมีเตรียมไว้”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้เร่งด่วนกระไร ฉันคงขายให้พี่ชายไม่ได้ดอกจ้ะ เพราะฉันจะเอาไปรักษาคน”
“พูดไม่รู้ความรึก็ข้าบอกว่า ข้าอยากได้ ไม่เช่นนั้น ข้าจะตามเอ็งมาจากเรือนขุนรักษาทำไม”
“จะตามมาจากที่ใดฉันก็ไม่ขาย แล้วก็ไม่ต้องเอายศศักดิ์ทหารมาขู่ฉัน ฉันหากลัวไม่”
“ เอ็งพูดเช่นนี้ ท้าทายข้ารึ”
ขุนจำนงพุ่งเข้าแย่งห่อยาจากสินทันที สินฉากหลบออกไป ขุนจำนงตามต่อย สินก็โยกหัวหลบออกไปได้อย่างสวยงาม
“ ฝีมือไม่เลว” ขุนจำนงว่า
ขุนจำนงเห็นไม้ไผ่ที่ปักอยู่ริมน้ำเลยดึงไม้ออกมาใช้ต่างทวนคู่มือ หวดเข้าใส่สินทันที สินเจอขุนจำนงรุกไล่ไม่กี่กระบวนก็เสียท่า ขุนจำนงใช้ไม้ไผ่ตวัดโดนข้อมือ จนห่อยาหลุดจากมือกระเด็นตกน้ำไป สินโมโหที่ห่อยาตกน้ำทำให้ไม่มียาไปรักษาเสมาเลยหันไปคว้าพายจากในเรือ เข้ามาสู้กับขุนจำนง
ทั้งคู่สู้กันในเชิงเพลงทวนอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างร้ายกาจพอกัน กินกันไม่ลงทั้งคู่ พวกชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงดูการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่สู้กันอยู่พักหนึ่งเห็นชาวบ้านมากันเยอะ กลัวมีเรื่องตามมาเลยผละออกจากกัน
“ฝีมือเอ็งร้ายกาจนัก มิน่าเล่าจึงได้โอหังเช่นนี้... มีคนมามุงโขอยู่ ข้าไม่อยากมีเรื่องถึงนครบาลให้เดือดร้อน ไว้คราหน้าหากเจอกัน เอ็งกับข้ามาทำสัญญาประลองกันตามธรรมเนียมเถิด จะได้ไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวได้”
“ถึงครานั้น ก็อย่าลืมเตรียมอาวุธคู่มือมาด้วยเล่า หากว่าแพ้จะได้ไม่ยกมาเป็นข้ออ้างได้”
ขุนจำนงมองสินด้วยตาอาฆาตก่อนจะเดินเลี่ยงไป สินรีบไปเขี่ยห่อยาเก็บขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดปนเสียดาย

เวลาต่อมา เอื้อยแตงไล่ตีสิน สินวิ่งหนีตายกระเจิดกระเจิงมาถึงหน้ากระท่อม
“อย่าแม่เอื้อยแตง ฉันกลัวแล้วจ้ะ กลัวแล้ว” สินพูดไปหนีไป
เอื้อยแตงยังคงโมโหแล้วตีไม่ยั้ง
“กลัวรึอ้ายสิน เอ็งทำยาตกน้ำไปเช่นนี้ พี่เสมาจะเอายากระไรกินเล่า”
สินจะฉากหนี แต่เอื้อยแตงไวกว่า ดึงหูสินไว้ได้ทันจนสินร้องลั่น ทั้งเจ็บทั้งกลัวจับใจ
“โอ๊ยๆ หูข้าขาดแล้ว”
สินยกมือไหว้เอื้อยแตง
“ฉันขอขมาเถิดจ้ะแม่เอื้อยแตง ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อยาใหม่มาให้จ้ะ”
“ยาอื่นยังพอว่า แต่ยาสมานแผลแลรักษาบอบช้ำ จะมีผู้ใดเก่งเกินขุนรักษาอีกเล่า ไม่เช่นนั้นแม่หญิงเรไรจะย้ำหนักหนา ให้ไปซื้อบขุนรักษารึ” เอื้อยแตงตวาดแว๊ด
เอื้อยแตงดึงหูทิ้งทวน เล่นเอาสินร้องจ๊ากสะดุ้งโหยงและรีบคลำหู
“ถ้ากระนั้นแม่เอื้อยแตงจะให้ฉันทำเช่นไรเล่าจ๊ะ เพื่อไถ่โทษ ฉันยอมทำทุกอย่างเลยจ้ะ”
“เอ็งต้องยอมอยู่แล้ว ลองไม่ยอมซีเป็นได้เห็นดีกัน”
สินจ๋อยสนิท กลัวเอื้อยแตงจับใจ
“หากไม่มียา อาการพี่เสมาคงหนักลงอีกเป็นแน่ แล้วนี่จะเอาแรงกระไรไปคัดเลือกทหารกัน”
สิน และเอื้อยแตงหน้าเครียดด้วยกันทั้งคู่ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งห่วงเสมามากขึ้น

สมบุญกำลังขนหญ้ามาเลี้ยงช้างอยู่ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“เวรแท้อ้ายสมบุญ พ้นจากทาสมาได้ ก็ต้องกลับไปทำงานทาสอีก หนีไม่พ้นเลยกู”
“บ่นกระไรรึสมบุญ” เสียงจำเรียงดังขึ้น
สมบุญตกใจ หันไปเห็นจำเรียงที่ถือกระบอกน้ำกับข้าวห่อใบบัวยืนอยู่ทางด้านหลัง
“แม่จำเรียงน่ะเองมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”
“ฉันเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้ว สมบุญยังไม่ได้กินกระไร เลยเอาข้าวเอาน้ำมาให้ แต่ถ้าสมบุญติฉันเช่นนี้ ฉันกลับก็ได้” จำเรียงทิ้งค้อนอย่างน้อยใจแล้วหันหลังกลับ
สมบุญรีบขวางไว้
“พิโธ่พิถัง แม่จำเรียงจ๋า อย่าเพิ่งโกรธกันเลย ฉันหาได้หมายความเช่นนั้นไม่”
สมบุญจับมือจำเรียงไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แม่จำเรียงเอาข้าวเอาน้ำมาให้ มีรึ ฉันจะติได้ มีแต่จักดีใจเท่านั้น”
สมบุญจับมือจำเรียงขึ้นมาจะจูบ แต่จำเรียงดึงมือออกก่อน สมบุญเลยพลาดไปด้วยความเสียดาย
“ถ้าเช่นนั้น ก็รีบมากินข้าวกินปลาเถิด จะได้กลับไปเฝ้าไข้พี่เสมาเสียที พี่เสมาเจ็บครานี้หนักนัก ฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”
ขณะนั้นเองก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ทางด้านหลังของจำเรียง เมื่อรู้สึกตัว จำเรียงหันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นดวงแขนั่นเอง
“เสมาเจ็บหนัก เป็นกระไร”
สมบุญ และจำเรียงต่างนึกไม่ถึงว่าจะเจอดวงแขที่นี่

ดวงแขกำลังนั่งมองเสมาที่นอนป่วยอยู่ด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงแขเอื้อมมือไปจับใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้สูงนึกสงสารเสมาจับใจ สมบุญยืนอยู่ใกล้ๆเมื่อเห็นดวงแขร้องไห้ก็แปลกใจ
“แม่หญิง เหตุใดถึงร้องไห้เล่า สงสารพี่เสมารึ”
“สงสารก็ข้อหนึ่ง แต่น้อยใจก็เป็นอีกข้อหนึ่ง คิดดูเถิดเสมาเจ็บหนักถึงเพียงนี้ แต่ฉันกลับไม่รู้เลย ไม่ว่าฉันเพียรพยายามเท่าใด เสมาก็หาเคยเห็นฉันในสายตาไม่” ดวงแขพูดพลางเช็ดน้ำตา
ดวงแขร้องไห้ออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ เบือนหน้าหลบสายตาสมบุญ ซับน้ำตาไปมา สมบุญจับตามองดวงแขอย่างจับสังเกต

อ่านละคร ขุนศึก ตอนที่ 11-3 วันที่ 31 พ.ค. 55
ละคร ขุนศึก บทประพันธ์โดย :ไม้เมืองเดิม/สุมทุม บุญเกื้อ
ละคร ขุนศึก กำกับการแสดงโดย: อดุลย์ บุญบุตร
ละคร ขุนศึก บทโทรทัศน์ละครโดย: เอกลิขิต
ละคร ขุนศึก ผลิตโดย: บริษัท ที.วี.ซีน จำกัด
ละคร ขุนศึก แนวละคร : ดราม่า - อิงประวัติศาสตร์
ละคร ขุนศึก ออกอากาศทุกวัน : จันทร์ -อังคาร เวลา 20.30 ทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ละคร ขุนศึกนำแสดงโดย: อั้ม อธิชาติ, พลอย เฌอมาลย์, เบนซ์ พรชิตา,วรฤทธิ์,นิรุตติ์, ตุ้ย , โก , โดนัท
ที่มา ไทยรัฐ
Share this game :

No comments:

Post a Comment

 

Copyright ©2011- 2013 เรื่องย่อละคร ดูละครย้อนหลัง ดูทีวีออนไลน์ 3,5,7,8,9,tpbs ดูละคร, ละครย้อนหลัง, ซิทคอม, รายการ